5 ร้านดังน่านั่งเวลาเชียร์บอลในกรุงเทพฯ ปักหมุดไว้เฮร่วมกัน

สำหรับหนุ่ม ๆ  กิจกรรมอย่างหนึ่งที่คงจะถูกใจเสมอเมื่อได้ทำก็คือ การไปนั่งเชียร์บอลร่วมกันกับเพื่อน ๆ และยิ่งถ้าการนั่งเชียร์บอลนั้นมีอาหารอร่อย ๆ และมีเครื่องดื่มเย็น ๆ รสชาติดีเป็นองค์ประกอบด้วยก็จะยิ่งเพิ่มความฟินให้กับการเชียร์ทีมที่ตัวเองรักเข้าไปใหญ่ ครั้งนี้เราจึงจะมาแนะนำ พิกัดน่านั่ง กับ 5 ร้านอาหารในกรุงเทพฯที่เปิดให้หนุ่ม ๆ เข้าไปนั่งกินอาหารพร้อมกับเชียร์บอลคู่สำคัญกันได้ในแบบอาหารอร่อย บรรยากาศครื้นเครง ไปดูกันเลยดีกว่ามีร้านไหนกันบ้าง

1.Maldives Resort Bar

เป็นหนึ่งร้านที่หลายคนบอกว่าบรรยากาศดีมาก Maldives Resort Bar เป็นร้านดังที่ตั้งอยู่แถวแยกเหม่งจ๋าย เหมาะมากที่คุณจะชวนเพื่อนซี้มานั่งกินอาหารและเชียร์บอลเวลามีคู่สำคัญลงเตะในวันนั้น เรื่องรสชาติอาหารไม่ต้องห่วงเลยมั่นใจได้ว่าอร่อยสั่งได้ทุกอย่าง ยิ่งช่วงมีบอลเตะล่ะก็คนแน่นร้านเลยทีเดียว

ปักหมุดพิกัดร้าน : 671/1 ซ.รัชดานิเวศน์ แยก 21 ถ.ประชาอุทิศ สามเสนนอก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ ร้านเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปนั่งชิลนั่งเล่นกันได้ หรือโทรสอบถามก็ที่เบอร์ 0-2274-3829

2. Fullmoon Terrace & Bar

หากใครที่ไม่อยากไปร้านที่อึกทึกมาก ๆ อยากเปลี่ยนบรรยากาศลองหามุมลึกลับไว้นั่งชิลและเชียร์บอลกับกลุ่มเพื่อน 2 – 3 คน กินไปเชียร์ไปและพูดคุยกันไป ก็ขอแนะนำเป็นร้านนี้ Fullmoon Terrace & Bar อาหารรสชาติใช้ได้ แบบมีดนตรีสดให้ฟังทุกคืนด้วย เมนูเด็ดของร้านนี้ก็จะเป็นพวกซีฟู้ด หอยนางรมร้านนี้บอกเลยเด็ดมาก

ปักหมุดพิกัดร้าน : 39/543 โครงการพล่าซ่า ลากูน ถ.ลาดพร้าว-วังหิน กรุงเทพฯ ร้านเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ใครจะโทรสอบถามเวลาเปิด – ปิด ก็เบอร์นี้เลย 08-9985-3344

3. Share House & Restaurant

ใครที่ผ่านถนนเส้นพระราม 9 เป็นประจำน่าจะเคยเห็นร้านนี้ Share House & Restaurant ร้านดังน่านั่งย่านพระราม 9 ที่มีทีเด็ดทั้งเรื่องอาหาร และบรรยากาศชิล ๆ น่านั่ง มีดนตรีสดบรรเลงขับกล่อมทุกคืน และยิ่งคืนไหนมีบอลเตะ ก็จะฉายขึ้นทีวีจอยักษ์ด้วย บอกเลยใครที่ชอบบอลและมีการพนันเล็ก ๆ ไว้เป็นค่าขนมกับเว็บไซต์พนันต่าง ๆ เช่น  เว็บไซต์ VWIN ที่เป็นเว็บรับพนันบอลยอดนิยมที่คนไทยชอบ การได้มาเชียร์บอลและนั่งแฮงค์เอาท์กับเพื่อน ๆ ในร้านนี้ยิ่งทำให้เชียร์บอลสนุกขึ้น ได้ลุ้นไปกับทีมที่คุณพนันไว้มากยิ่งขึ้น เชียร์บอลร้านนี้ได้เฮจริง ๆ

ปักหมุดพิกัดร้าน : ร้านนี้หาไม่ยาก ร้านตั้งอยู่ที่ ถ.พระราม 9 กรุงเทพฯ ติดกับโรงพยาบาลพระราม 9 เลย ร้านเปิด 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 08-1356-3633

4. 20Something Bar

อีกหนึ่งตัวเลือกดี ๆ ของหนุ่ม ๆ ที่ต้องการนั่งฟังเพลงดี ๆ ไปพร้อมกับอาหารอร่อย ก็ต้องร้านนี้ 20Something Bar อาหารก็เยี่ยมหลายเมนู เครื่องดื่มก็ใช้ได้ ที่สำคัญหากมีฟุตบอลคู่สำคัญ ร้านนี้เปิดจอใหญ่ให้ได้เชียร์กันทุกนัด เป็นอีกหนึ่งพิกัดร้านที่น่าไป

ปักหมุดพิกัดร้าน : ร้านนี้หลายคนรู้จักดี อยู่เลียบด่วนรามอินทรา กรุงเทพฯ หาไม่ยาก บอกแท็กซี่ยังรู้เลย ร้านนี้เปิด 1 ทุ่มเป็นต้นไป สอบถามที่ 06-1675-2020

5. Mulligans Irish Bar Khaosan

ปิดท้ายกันที่คนที่ชอบดื่มด่ำกับบรรยากาศ ไม่เน้นกินแต่เน้นดื่มก็ต้องร้านนี้ Mulligans Irish Bar ร้านนี้แค่เห็นการตกแต่งร้านก็รู้ได้เลยทันทีว่าโดดเด่นเรื่องเบียร์ ใครไปนั่งดื่มก็จะรู้สึกคล้าย ๆ กับการไปนั่งจิบเบียร์ในต่างประเทศ อาหารเคียงก็ถือว่ารสชาติไม่ธรรมดา ที่ได้อารมณ์มาก ๆ ก็คงต้องยกให้เรื่องการเปิดให้เชียร์บอลผ่านจอใหญ่ ๆ นั่งจิบเบียร์ไปและเชียร์บอลพร้อมกับทุกคนในร้าน ฟินอย่าบอกใครเลย

ปักหมุดพิกัดร้าน : ร้านนี้อยู่ในถนนข้าวสาร หาไม่ยาก เลขที่ 256 เดินไปข้าวสารแป๊บเดียวก็เห็นแล้ว ร้านเปิด 1 ทุ่ม สอบถามโทร 0-2629-2882

นี่คือ 5 ร้านดังน่านั่งชิล ทั้งกิน ทั้งดื่ม พร้อมกับเชียร์ พิกัดดี ๆ แบบนี้ช้าอยู่ทำไม ปักหมุดและไปเฮกับเพื่อน ๆ ของคุณกันคืนนี้เลยสิ บันเทิงสุด ๆ แบบฉุดไม่อยู่ทีเดียว

ไปลองอาหารญี่ปุ่นพรีเมียม รสชาติจัดจ้านแถมยังราคาดีดีที่ Kabocha Sushi

อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอร่อยและค่อนข้างจะถูกปากคนไทย เพราะมีรสชาติออกเค็ม ๆ หวาน ๆ จัดจ้านด้วยความหอมของวาซาบิ จึงถึงใจใครหลาย ๆ คนได้ไม่ยาก ในบ้านเราเองก็มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากมายหลายสไตล์ทั้งอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมไปจนถึงญี่ปุ่นที่ฟิวชั่น ทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงหลายเรทราคาขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้ปรุงอาหาร โดยวันนี้เราจะมาแนะนำร้านอาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมียมในราคาเอื้อมถึงได้ พร้อมด้วยรสชาติที่อร่อยถูกปากคนไทยเป็นที่สุด นั่นคือร้าน Kabocha Sushi

ร้าน Kabocha Sushi เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีหลายสาขาในกรุงเทพฯ โดยแต่ละสาขาจะเป็นร้านที่ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ขอบอกว่าคนแน่นทุกร้าน เพราะร้านเค้าดีงามจริง ๆ ด้วยการที่มีโปรโมชั่นสุดคุ้ม คืนความสุขให้กับลูกค้าตลอด ๆ แถมยังมีอาหารญี่ปุ่นจากวัตถุดิบนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ผ่านคำเคลมของทางร้านที่ว่าสดอร่อยเหมือนไปทานที่ตลาดปลาในกรุงโตเกียวเลยทีเดียว

เมื่อเข้ามาในร้าน ทางร้านจะมีของว่าง เป็น Complimentary ให้ทานเล่นระหว่างที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่นโยบายของทางร้าน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเบื่อนั่นเอง ส่วนมากก็จะเป็นกระดูกปลาทอดและถั่วแระญี่ปุ่นเม็ดอวบ ไม่เค็ม ซึ่งมันส์และทานเพลินมาก ๆ นอกจากนั้นทางร้านก็ยังจะให้ซุปมิโซะรสชาติกลมกล่อมกับลูกค้าไว้ซดให้คล่องคอ 1 ถ้วยอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการอุ่นเครื่องที่ดีทีเดียว

สำหรับไลน์อาหารญี่ปุ่นของทางร้านก็มีมากมายหลากหลายให้เลือกทาน ไม่ว่าจะเป็นซูชิหน้าปลาสดต่าง ๆ ซูชิ มากิ ข้าวดงบุริต่าง ๆ ทั้งข้าวหมูทอด ปลาย่าง หน้าไคเซ็นด้ง เทมปุระต่าง ๆ ทั้งกุ้งและผัก หมูทงคัตสึ หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ้ว ราเมนและอุด้ง ไม่ว่าคุณจะชอบอาหารญี่ปุ่นสไตล์ไหน ที่ร้านนี้ก็พร้อมจะตอบโจทย์ลูกค้าทุกท่าน

เมนูที่โดดเด่นและแนะนำเลยสำหรับผู้ที่มาทานอาหารญี่ปุ่นที่ร้านนี้ก็คือสลัดปลาเงิน โดยเค้าจะนำปลาเงินหรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่าปลา Shirauo ซึ่งมีลักษณะเป็นปลาตัวเล็ก ๆ นำมาทอดกรอบทั้งตัว ใส่ลงไปในจานสลัด ปรุงด้วยน้ำสลัดสูตรเฉพาะของทางร้านที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน ขอบอกว่าทานกี่จานก็ไม่พอ ส่วนอีกเมนูหนึ่งก็คือพวกซาชิมิต่าง ๆ ที่ทางร้านขนกันมาอย่างจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ปลากระพง หอยโฮตาเตะ ปลาทูน่า ส่วนมากุโร โอโทโร่ และชูโรโท่ที่สดมากจนแทบจะละลายในปาก แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว

ร้าน Kabocha Sushi มีอยู่หลายสาขาด้วยกันก็คือ สาขาลาดพร้าว 19, สาขา The Street รัชดา, สาขา The Nine พระราม 9, สาขา The Bright พระราม 2, สาขา Home Pro พระราม 3, สาขาเซ็นทรัลบางนา และสาขาเสนาเฟสท์ ร้านเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 11.30 น. – 22.00 น. Facebook: Kabochasushi

ชวนทานร้านปิ้งย่างแบบเกาหลีแท้ ๆ ที่อร่อย แถมไม่แพงที่ร้านคังนัม Korean BBQ

อาหารเกาหลีเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมักย่างบนเตาร้อน ๆ ทานแกล้มด้วยเครื่องเคียงและผักมากมายหลายชนิด แค่พูดก็น้ำลายสอแล้วล่ะ หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบรสชาติของเนื้อย่างหอม ๆ ห่อผัก พร้อมน้ำจิ้มรสชาติเข้มข้นแบบเกาหลีแต่ถูกปากคนไทย ในราคาไม่แพง แถมยังเป็นบุฟเฟต์ด้วย เรามีร้านอาหารเกาหลีน่าสนใจอย่างร้าน  ร้านคังนัม Korean BBQ มาแนะนำ

ร้านคังนัม Korean BBQ เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 เป็นร้านอาหารเกาหลีที่คนเกาหลีเป็นเจ้าของ แต่สูตรของทางร้านได้ปรับปรุงเล็กน้อยให้ถูกปากคนไทย ด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวเกาหลี ปรุงรสด้วยกระเทียมและพริกเพื่อความจัดจ้าน แต่ก็ยังคงรสชาติอร่อย ๆ แบบเกาหลีด้วยสูตรหมักหมู เรียกได้ว่าเหมือนบินไปทานที่เกาหลีเลยล่ะ โดยทางร้านมีชุดบุฟเฟต์หมู ทานได้ไม่อั้นในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ในราคาไม่ถึง 300 บาท ยังไม่รวมเครื่องดื่ม โดยมีเมนูต่าง ๆ ตั้งแต่ซี่โครงหมูหมัก หมูหมักซอสแดงเกาหลี หมูหมักสูตรซิกเนเจอร์ของทางร้านและหมูสามชั้น

เครื่องดื่มของทางร้านแม้จะไม่ได้รวมในบุฟเฟต์ แต่ก็มีให้สั่งแบบรีฟิลสุดคุ้ม ทั้งชาเขียวร้อน ชาเขียวเย็นและชามะนาว ในราคาแก้วละประมาณ 40 บาท

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัววัดความอร่อยของร้านเนื้อย่างแบบเกาหลีเลยนั้นก็คือเครื่องเคียง ร้านนี้เค้ามีเครื่องเคียงเกาหลีแท้ ๆ หลากหลายชนิด รวมอยู่ในชุดบุฟเฟต์ ไม่ว่าจะเป็นกิมจิ ยำถั่วงอกและถั่วลันเตาผัดน้ำมัน ยำผัก (รสชาติเปรี้ยว ๆ ผัดสด ตัดเลี่ยนได้ดีมาก) ผัดผักโขม โดยทางร้านจะเปลี่ยนเครื่องเคียงที่นำมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ลูกค้าเบื่อ นอกจากนั้นก็ยังมีซุปไข่ร้อน ๆ รสชาติอ่อน ๆ ที่เหมาะกับการซดให้คล่องคอเป็นอย่างมาก แนะนำให้สั่งมาลองทานให้ครบทุกแบบเลยนะ

แต่หากอยากจะทานอาหารเกาหลีอื่น ๆ ทางร้านก็มีให้สั่งแบบเป็น A La Carte ซึ่งไม่รวมอยู่ในบุฟเฟต์ มีประมาณ 14 รายการ ไม่ว่าจะเป็นข้าวยำเกาหลี ข้าวหมูผัดกิมจิ มาม่าเกาหลีและข้าวห่อสาหร่ายรสชาติแบบเกาหลีแท้ ๆ เรียกได้ว่าไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปกินถึงเกาหลีก็สามารถอร่อยได้แบบสบายกระเป๋า

ในส่วนของบรรยากาศของทางร้าน ร้านเป็นร้านเล็ก ๆ มีโต๊ะประมาณ 10 ตัวได้ เป็นร้านที่มีเครื่องปรับอากาศ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะร้อนระหว่างที่กำลังย่างเนื้อแต่อย่างใด ทางร้านไม่ได้ตกแต่งแบบเว่อร์วัง แต่ตกแต่งให้อารมณ์เหมือนนั่งทานอาหารกับเพื่อน ๆ อยู่ที่บ้าน สามารถแต่งตัวแบบไหนมาทานได้แบบไม่ต้องคิดมาก สบายใจดีเหมือนกัน

ร้านคังนัม Korean BBQ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 สามารถขับรถมาได้ (แต่อาจจะหาที่จอดรถยาก เพราะร้านตั้งอยู่ในซอยแคบ ๆ ) แนะนำให้เดินทางมาโดยนั่งรถไฟ BTS ลงสถานีอโศกหรือโดยสาร MRT ลงสถานีสุขุมวิทและเดินเข้าซอยต่อมาอีกนิดหน่อยก็ถึงแล้ว ร้านเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 11.30 น. – 22.00 น. โทรศัพท์ 081-692-7836, 02-258-9161

Facebook: Gangnam Korean BBQ สุขุมวิท 16

ทานอาหารพร้อมชมวิวทะเลสวย ๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ The Sky Gallery

หากคุณกำลังมองหาร้านอาหารที่มีอาหารอร่อย เมนูเลือกได้หลากหลาย มีจุดสวย ๆ ให้ถ่ายรูป พร้อมกับมีวิวทะเลสุดลูกหูลูกตาให้ชมแบบไม่มีอะไรมาขัดขวาง อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปถึงได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง เราขอแนะนำร้าน The Sky Gallery ร้านอาหารชื่อดังที่สุดร้านหนึ่งในแถบพัทยา

ตัวร้านค่อนข้างมีขนาดใหญ่ แบ่งพื้นที่ต่าง ๆ ออกเป็นหลายส่วนด้วยกัน มีที่นั่งแบบเก้าอี้ ที่นั่งแบบโซฟาให้เอนหลังชมวิวทะเล หรือที่นั่งแบบฟูกวางท่ามกลางสนามหญ้าเทียมและใต้เงาต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้ดูร่มรื่น บรรยากาศสบาย ๆ ไม่ร้อน พร้อมทั้งมีการจัดสรรและออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในร้านได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถนั่งรับประทานอาหารและพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างสงบ ไม่อึดอัดแม้ทางร้านจะมีลูกค้าเยอะมากตลอดทั้งวันก็ตาม

จุดเด่นของร้านนี้นอกจากจะมีวิวทะเลพัทยาสวย ๆ น้ำใส ๆ ให้ชมระหว่างที่ทานอาหารของทางร้าน ที่มีให้เลือกอยู่อย่างหลากหลายแล้ว ทางร้านก็ยังมีเมนูกาแฟสูตรมาตรฐานแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น อเมริกาโน่ ลาเต้ มอคค่า หรือคาปูชิโน่ หากใครไม่ชอบกาแฟก็มีน้ำหวานชื่นใจให้ดื่มแก้ร้อน เช่น โกโก้ ชาเขียวรสชาติเข้มข้น นมคาราเมล หรือนมสดใส่ถั่วเฮเซลนัทให้รสชาติแบบหวานมัน นอกจากนั้นยังเป็นร้านกาแฟหนึ่งในไม่กี่ร้านในพัทยาที่เปิดให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้าอีกด้วย

มาถึงอาหารของร้านนี้กันบ้าง เริ่มจากของคาวก่อน ทางร้านนี้จะเน้นเมนูอาหารนานาชาติ อาหารฟิวส์ชัน ผสมผสานความอร่อยของอาหารแต่ละเชื้อชาติได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงหมูบาร์บีคิว ผักโขมอบชีส ปลาดิบซาชิมิ พิซซ่าแซลมอน ต้มยำทะเล และปลากะพงทอดราดน้ำปลา และหากคุณมาเยือนร้านในตอนเช้า ก็สามารถรับประทานอาหารเช้าของที่นี่ได้ ตั้งแต่อาหารเช้าสไตล์ไทย ๆ ไปจนถึงสไตล์ต่างชาติ เช่น กรีกโยเกิร์ตกับผลไม้สด ๆ ซีเรียลคู่กับนมสด แพนเค้ก ไข่ลวก ขนมปัง และแซนวิช เรียกได้ว่ามีอาหารที่มากมายหลากหลาย อร่อยถูกปากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกันเลยทีเดียว

และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบขนมหรือของหวาน ที่ร้านนี้ก็มีให้เลือกแบบจัดเต็ม ตั้งแต่ขนมเค้กขายเป็นชิ้น ๆ ทำสดใหม่ในแต่ละวัน ไปจนถึงขนมปังโทสต์ราดน้ำเชื่อมหวานหอม ทานคู่กับไอศกรีมเย็น ๆ วิปครีม และผลไม้หลากหลายเป็นท้อปปิ้ง ก็สามารถช่วยดับร้อนได้เป็นอย่างดี

ร้าน The Sky Gallery ตั้งอยู่ด้านหลังของโรงแรม Cozy Beach ถนนราชวรุณ พัทยา ใกล้กับเขาพระตำหนัก เดินทางไม่ยากเมื่อมาจากกรุงเทพฯ โดยร้านเปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 น. – 23:59 น. โทรศัพท์ 092-821-8588 Facebook: The Sky Gallery Pattaya

เครดิตภาพ : The Sky Gallery Pattaya

Sea Salt Bangpra ร้านอาหารสุดโรแมนติก สำหรับนั่งชิลริมทะเล ณ บางพลี

หากจะนึกถึงร้านอาหารที่มีบรรยากาศโรแมนติก แกล้มรสชาติอาหารอร่อยๆ ให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น วันนี้เราจะมาแนะนำร้านอาหารริมทะเลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ติดทะเล แถมแต่งร้านน่ารักสุดๆ มาแนะนำกัน

 Sea Salt Bangpra เป็นร้านอาหารขนาดกว้างใหญ่และติดทะเลส่วนตัว โดยทางร้านจะมีอยู่ 2 โซน นั่นก็คือโซนในร่มและโซนกลางแจ้ง ในส่วนของโซนในร่ม (Indoor) เป็นโซนสำหรับรับประทานอาหารเป็นหมู่คณะสามารถรองรับได้ถึง 400 ที่นั่งและตกแต่งแบบ Modern ดูสบายตาและมีทั้งโซนที่มีเครื่องปรับอากาศและไม่มีเครื่องปรับอากาศ เหมาะสำหรับอากาศร้อนๆ ในช่วงกลางวันของบ้านเราได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้ที่อยากจะนั่งชิลที่ริมทะเล สามารถเดินออกไปโซนกลางแจ้ง (Outdoor) เพื่อที่จะนั่งรับประทานอาหารบนหาดทรายสีขาวละเอียด สำหรับโซนกลางแจ้งนี้ จะมีเบาะนั่งกลางทรายและโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับนั่งสบายๆ และโต๊ะที่ตั้งอยู่ในซุ้ม ซึ่งแต่ละโต๊ะมีการจัดวางที่ไม่แออัดเลย ดังนั้นโซนนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มากับคู่รักหรือต้องการความเป็นส่วนตัว นั่งชิลท่ามกลางลมทะเลเย็นๆ

สำหรับอาหาร เมนูของร้านนี้มีอาหารไทยฟิวชั่นและอาหารนานาชาติ ด้วยวัตถุดิบเกรดพรีเมียมที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อวากิว และปลาแซลมอนจากนอร์เวย์ ส่วนเมนูที่ลูกค้าหลายๆ ท่านแนะนำก็คือปลากะพงทอดน้ำปลา ปลาหมึกหอมย่าง ยำปลาแซลมอน เนื้อปูผัดผงกระหรี่และข้าวผัดปู

ส่วนเมนูเครื่องดื่ม ทางร้านมีทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเบียร์สดและไม่มีแอลกอฮอล์อย่างต่างๆ เครื่องดื่มที่ห้ามพลาดเลยก็คือ Green Apple Sprite Bowl และ Soft Drink หลายเมนูที่เสิร์ฟในแก้วกลม ที่นอกจากจะดื่มแล้วชื่นใจ ช่วยให้หายร้อนแล้ว ยังถ่ายรูปสวยด้วยแหละ

ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ขอบอกว่าห้ามพลาดร้านนี้เลย เพราะว่ามีมุมสวยๆ ริมทะเลให้ถ่ายรูปเพียบ ตั้งแต่กำแพงสวยๆ ของทางร้านที่เพ้นต์เป็นรูปสัตว์ทะเลแบบ Modern เก๋ๆ และบริเวณที่นั่งด้านนอกบนหาดทราย นอกจากนั้นยังมีสะพานไม้ที่ยื่นออกไปกลางทะเล ถ่ายรูปสวยสุดๆ หรือจะมาเดินเล่นให้อาหารย่อยกับคู่รักก็โรแมนติกมากเลยทีเดียว ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่อยากถ่ายรูปก็คือควรมาเยือนร้านนี้ในช่วงเย็นๆ เพราะจะมีแสงให้ถ่ายรูป แถมยังจะได้ชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกอีกด้วย

ด้วยบรรยากาศอาหารที่เป็นตัวชูโรงพอๆ กับรสชาติอาหาร แถมยังมีดนตรีสดในช่วงกลางคืน จึงทำให้ร้านนี้มีลูกค้าเข้ามาเยือนอย่างไม่ขาดสาย ดังนั้นถ้าจะเข้ามารับประทานอาหารในช่วงเที่ยงหรือช่วงเย็น ก็อาจจะต้องจองโต๊ะก่อนสักหน่อยนะ หากคุณมีเวลาว่างในช่วงเสาร์-อาทิตย์นี้ อย่าลืมลองมาเยือนร้านนี้กันนะ

ร้าน Sea Salt Bangpra ในศรีราชา-บางพระ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ภายในโครงการคอนโด Paradiso Beach เปิดบริการทุกวัน ในวันจันทร์-วันศุกร์จะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 17:00 น. – 23:00 น. และวันเสาร์-วันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 11:00 น. – 23:59 น. โทรศัพท์ 097-149-8228 Facebook: SEA SALT Bangpra

เต้ยติ่มซำ ติ่มซำสูตรต้นตำหรับที่พร้อมเสิร์ฟ

ติ่มซำเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของจีนกวางตุ้ง เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในประเทศไทยจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องติ่มซำที่สุดก็น่าจะเป็นจังหวัดตรัง ที่มีติ่มซำวางอยู่ตามร้านกาแฟยามเช้า มักทานคู่กับน้ำชาร้อน ๆ หรือกาแฟ ก็อิ่มท้องได้ทั้งวัน หลาย ๆ คนที่ไม่รู้จักว่าติ่มซำคืออะไร จริง ๆ แล้วติ่มซำเป็นที่รู้จักกันในแบบลักษณะของนึ่ง เช่น ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า ที่วางอยู่ในเข่งหรือจานเล็ก ๆ แล้วนำไปนึ่ง ทานคู่กับซอสเปรี้ยวหรือจิ๊กโฉ่ว และกระเทียมเจียว หลาย ๆ ร้านในประเทศไทยมักจะนิ่งติ่มซำทิ้งไว้รอลูกค้าสั่งก็หยิบเสิร์ฟได้เลย

สำหรับท่านใดที่อยู่เชียงใหม่หรือแวะมาเที่ยวเชียงใหม่อยากจะลองทานอาหารอุ่น ๆ ท้องที่ไม่ใช่อาหารเหนือลองมาทานร้านนี้กันกับร้าน “เต้ยติ่มซำ” ร้านติ่มซำสไตล์จีนกวางตุ้งที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่เปิดให้บริการมายาวนานกว่า15 ปีแล้ว นอกจากร้านเต้ยจะคัดเลือกวัตถุดิบอย่างดีมาให้ลูกค้าได้รับประทานแล้ว ที่ร้านยังมีเมนูติ่มซำให้เลือกมากมาย ทั้งขนมจีบ ซาลาเปา โดยเฉพาะซาลาเปาไส้หวาน โดยที่ตัวไส้พุทรากวนจะละเอียดเนียน รสชาติหวานกำลังดี แป้งซาลาเปาไม่แข็งนุ่มหอมเข้ากันกับตัวไส้ หรือจะเป็นซี่โครงหมูอบที่เนื้อไม่เหนียวรสชาติหวานซอสกำลังดี พร้อม ๆ กับจิบชาร้อน ๆ ที่ร้านนี้เค้ามีบริการให้ฟรีไม่เสียตัง พร้อมกับผักสดคุณภาพดีที่สามารถตักมาทานแกล้มคู่กันได้

หากใครที่อยากทานเมนูทอดของร้านนี้ก็มีเหมือนกัน เช่น กุ้งกรอบ หรือปอเปี๊ยะทอดที่ทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วยก็ดูลงตัว เรียกกันว่าร้านนี้คนเชียงใหม่มาทานกันเยอะมาก นอกจากจะมีเมนูที่เยอะแล้วลูกค้าที่เข้ามารับประทานก็จะเยอะตามช่วงเวลาด้วยเหมือนกัน ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนกำแพงดิน ผ่านร้านหนังสือสุริวงค์บุ๊คเซนเตอร์ เจอสี่แยกให้เลี้ยวขวา ประมาณ500 เมตรร้านจะอยู่ซ้ายมือ ร้านเต้ยติ่มซำเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่ม ตัวร้านจะเป็นอาคารพาณิชย์ประมาน 3 ล็อค ลูกค้าที่เข้ามารับประทานจะต้องเดินไปยืนเลือกติ่มซำกันหน้าร้าน เลือกเสร็จก็สามารถไปนั่งรอติ่มซำมาเสิร์ฟกันที่โต๊ะ ประมาน 15 นาทีก็จะมีเข่งติ่มซำมาวางบนโต๊ะข้างหน้ากันแล้ว แต่ถ้าใครที่สั่งเป็นของทอดไปอาจจะต้องรอทอดกันสักหน่อย แต่ใช้เวลาไม่มากก็จะได้รับประทานกัน ติ่มซำร้อน ๆ ที่มาเสิร์ฟตรงหน้า ตักทานคู่กับกระเทียมเจียวที่ร้านนี้เติมได้แบบไม่อั้น กระเทียมเจียวที่ร้านนี้ไม่ได้ใช้กระเทียมเจียวสำเร็จรูปทั่วไปแต่เป็นกระเทียมเจียวที่เจียวเองกรอบ ๆ หอม ๆ เพื่อลูกค้าโดยเฉพาะ

ติ่มซำที่ร้านเต้ยติ่มซำ จังหวัดเชียงใหม่นอกจากจะเน้นคุณภาพที่มีมานานกว่า 15 ปีในเชียงใหม่ ยังเป็นอีกแหล่งนัดพบปะพูดคุยไปพร้อม ๆ กับการทานอาหารทีมีคุณภาพ นอกจากจะติดใจคนเชียงใหม่แล้วยังอยากให้ผู้คนจากที่อื่นได้มาลิ้มรสอาหารจีนสไตล์ยูนานกันที่นี่อีกด้วย

ข้าวมันไก่สูตรเด็ดบนถนนวัวลาย

ถนนวัวลายเป็นถนนเส้นวัฒนธรรมที่อยู่คู่จังหวัดเชียงใหม่มาเป็นเวลายาวนาน และนอกจากจะมีร้านขายเครื่องเงินอันเป็นสัญลักษณ์ของย่านนี้แล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าค้นหากันอีกมากมาย บนถนนสายวัฒนธรรม

นอกจากเครื่องเงินที่โด่งดังบนถนนวัวลายแล้ว ยังมีร้านรวงอีกมากมายที่เป็นที่รู้จัก แต่ถ้ามาถึงย่านนี้จะไม่ไปชิม  “ข้าวมันไก่นันทาราม” ที่เปิดมานานกว่า 27 ปี ถือว่าเป็นตำนานของข้าวมันไก่ในจังหวัดเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ สำหรับท่านที่เกิดคำถามสงสัยว่า ข้าวมันไก่ เป็นอาหารของไทยเราแต่ดั้งเดิมหรือไม่ ต้องบอกก่อนเลยว่าข้าวมันไก่เป็นอาหารที่ไทยเราได้รับอิทธิพลมาจากจีน โดยการนำไก่ไปต้มในน้ำจนไก่สุก เนื้อไก่นิ่ม จากนั้นก็นำข้าวสารไปผัดกับน้ำมันก่อนแล้วจึงค่อยนำไปหุง เพิ่มความหอมให้ข้าวโดยใส่ขิงลงไป พอสุกก็ตักไก่วางบนข้าว เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม แต่ไม่ใช่ทุกร้านที่จะมีรสชาติถูกปาก เหมือนร้านข้าวมันไก่นันทาราม กับความอร่อยที่อยู่มานานกว่า 20 ปี

นอกจากจะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงจนมีหลายสาขาแล้ว เมนูของที่นี่ก็มีให้เลือกมากมาย นอกจากพระเอกของเราซึ่งเป็นข้าวมันไก่เนื้อนุ่ม ที่ไม่ได้ตีไก่จนแบนเหมือนร้านอื่น รับประทานกับพร้อมกับข้าวที่หุงกำลังดีเมล็ดข้าวเรียวสวย น้ำจิ้มรสเด็ดที่เป็นน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้านที่มีรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ทานคู่กับไก่รสชาติเข้ากันเป็นอย่างดี หรือจะเป็นเมนูอื่น ๆ ของร้านนี้ก็มีมาให้เลือกไม่ว่าจะเป็นข้าวมันไก่ทอด แต่ถ้าใครที่อยากจะสั่งไก่เป็นจานแยกออกมาทานคู่กับข้าว หรือจะจิ้มน้ำจิ้มทานแยกต่างหากก็สามารถสั่งแยกได้ ราคาของเมนูในแต่ละอย่างก็สบายกระเป๋า ไม่ได้แพงตามยุคสมัยแต่อย่างใด นอกจากจะมีเมนูไก่แล้วก็ยังมีหมูสะเต๊ะ เนื้อนุ่มให้ลองชิมกัน การเดินทางมาชิมร้านนี้ก็ไม่ยากเลยเพราะร้านจะอยู่หลังถนนวัวลาย ถ้าหากขับมาจากประตูเชียงใหม่ก็เลี้ยวขวามาที่ถนนวัวลายตรงไปจนสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอกับร้านข้าวมันไก่นันทาราม เมื่อลงจากรถจะเจอกับร้านที่มีขนาดกว้างขวาง มีโต๊ะให้นั่งรับประทาน และรองรับลูกค้าที่มารับประทานกันเป็นกลุ่มใหญ่ เวลาในการรออาหารก็ไม่นานมากนักถือว่าบริการดี พนักงานที่ร้านมักจะถามเสมอว่าอยากรับอะไรเพิ่มเติมบ้าง มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา

ข้าวมันไก่เป็นอาหารที่หาทานง่ายแม้แต่ในชุมชนบางที่ ก็มักจะเห็นตู้ที่มีไก่แขวนโชว์ตามหน้าร้าน แต่จะเป็นที่ถูกปากถูกใจหรือเปล่า แบบนี้ต้องลองไปทานกัน หรือจะแวะมาทานกันที่ร้านข้าวมันไก่นันทาราม ก็ยินดีต้อนรับทุกคน

ส้มตำเจ๊ต่าย สุดแซ่บแห่งเชียงใหม่

ส้มตำเรียกว่าเป็นอาหารที่ชื่นชอบของคนจำนวนไม่น้อยเลย ทั้งคนไทยหรือคนต่างชาติ หากพูดถึงส้มตำแล้วหลาย ๆ ท่านอาจจะนึกได้ว่าต้นตำหรับความแซ่บนัวนั้นมาจากภาคอีสานของประเทศไทยเรานั่นเอง ซึ่งส้มตำเป็นอาหารรสชาติจัดจ้าน มีครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม จึงทำให้สามารถทานได้ทุกวัน นอกจากจะใช้เส้นมะละกอตำแล้ว ยังสามารถตำอย่างอื่นได้เหมือนกัน แล้วแต่เมนูของแต่ละร้าน

วันนี้พาไปชิมส้มตำรสแซ่บที่ยกครกกันมาตำที่เชียงใหม่ กับร้านส้มตำบัตรคิว “ร้านส้มตำเจ๊ต่าย” ที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อย ร้านส้มตำเจ๊ต่ายเป็นร้านส้มตำที่มีเมนูมาให้เลือกหลากหลาย อยากจะทานตำอะไรไม่ต้องคิดไว้ในใจ สั่งได้เลย เพราะบางทีเจ๊ต่ายเค้าก็ไม่ระบุไว้ในเมนู หลักเมนูก็จะมี ส้มตำไทย ลาว ปูปลาร้า ตำแตง แล้วก็มีเมนูสุขภาพดี อย่างเช่นตำผลไม้ รสชาติแซ่บ ๆ เคล็ดลับความอร่อยของร้านส้มตำเจ๊ต่ายหลัก ๆ ก็จะเป็นน้ำปลาร้าที่ใช้น้ำไปปลาร้าสุกเคี่ยวจนหอม เป็นส่วนผสมหลักในเมนูส้มตำร้านเจ๊ต่าย สำหรับท่านที่อยากจะทานอะไรพิเศษเจ๊ต่ายเค้าก็จัดให้ได้ เช่นส้มตำปูม้า มีทั้งปูม้าสด และปูม้านึ่ง ส้มตำกุ้งสด ที่กุ้งตัวใหญ่กัดได้เต็มคำ

หากใครที่ไม่อยากรอเจ๊ต่ายเค้าก็มีบริการโทรสั่งก่อน อีก 30 นาทีมารับได้เลย ซึ่งต้องพูดเลยว่าส้มตำเจ๊ต่าย เค้ามีสั่งแยกน้ำ ให้ไปคลุกเคล้ากันเองเองที่บ้าน รสชาติเหมือนทานที่ร้านไม่มีผิดเพี้ยน บางคนอาจจะเคยรู้สึกว่าทานที่ร้านกับสั่งกลับบ้านรสชาติแตกต่างกัน ต้องลองมาชิมร้านเจ๊ต่ายกันก่อนแล้วจะต้องสังกลับบ้านไปกันคนละถุง 2 ถุง รับรองเรื่องรสชาติที่ไม่เพี้ยนเลย หากใครที่ยังไม่เคยไปลองส้มตำเจ้ต่ายร้านจะอยู่บริเวณเชิงสะพานตำรวจภูธรภาค 5 ทางจะไปเทศบาลตำบลป่าแดด ลอดใต้สะพานมาแล้วเลี้ยวขวาตรงโรงเรียนอนุบาลเลย ร้านส้มตำเจ๊ต่ายจะอยู่ริมถนนฝั่งซ้ายมือ สังเกตป้ายหน้าร้านจะมีรูปเด็กผู้หญิงยืนยิ้มอยู่ สามารถจอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินไปที่ร้านได้เลย

บางท่านที่พึ่งมาร้านนี้อาจจะสงสัยว่าร้านนี้เค้ามีแต่สั่งกลับบ้าน แต่จริง ๆ แล้วร้านนี้มีโต๊ะให้บริการสำหรับลูกค้าที่มานั่งทานที่ร้านด้วย แต่โต๊ะอาจจะมีน้อย ลูกค้าบางท่านอาจจะต้องรอนานกันสักนิด เจ๊ต่ายเจ้าของร้านเป็นคนที่พูดเสียงดังแต่อารมณ์ดี ลูกค้าขาประจำอาจจะชินกับเสียงแกไปแล้ว แต่ถ้าใครพึ่งเคยไปอาจจะมีตกใจกันเล็กน้อย สำหรับใครที่เขียนเมนูส่งให้เจ๊ต่ายแล้วก็อย่าลืมเขียนชื่อเผื่อเวลาเจ๊เค้าเรียกจะได้ถูกคน ไม่สับสนกัน

นอกจากส้มตำจะเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นอาหารที่ทานได้ในทุกเวลา ทุกจังหวัดจะมีร้านส้มตำเปิดให้บริการทุกท่านอยู่ อีกทั้งส้มตำยังเป็นอาหารที่หาทานได้ตั้งแต่ข้างทางจนไปถึงระดับโรงแรมเลย หากใครชื่นชอบส้มตำอยากให้ลองไปร้านเจ๊ต่ายกัน จะไปลิ้มรสความแซ่บนัวจากร้านข้างทางที่มีรางวัลการันตีร้านนี้กัน

โต้รุ่งยามดึกกับ “ขนมจีนน้ำเงี้ยว สันป่าข่อย กาดทองคำ”

เมื่อพูดถึงอาหารเหนือที่หาทานได้ง่ายมากว่าน้ำพริกหนุ่ม ก็ต้องเป็นขนมจีนน้ำเงี้ยว อย่างแน่นอน ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของชาวล้านนาและอิทธิพลจากเพื่อนบ้านของไทยเรานั่นก็คือไทใหญ่ กลายมาเป็นอาหารยอดฮิตนั่นก็คือขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือที่คนเหนือมักพูดกันติดปากว่า ขนมเส้นน้ำเงี้ยว

หลายคนคงแปลกใจเมื่อได้ยินคนเหนือเรียกอาหารว่าขนม เหมือนที่เรียกขนมจีนว่าขนมเส้น ขนมเส้นของคนเหนือคือการนำแป้งหมักหรือแป้งสดไปบีบเป็นเส้นลงในน้ำร้อนแล้วตักขึ้นมาแช่ในน้ำเย็นด้วยการจับเป็นก้อน ๆ เรียงกันอย่างสวยงามน่ารับประทาน ส่วนน้ำเงี้ยวเป็นน้ำแกงที่มีรสชาติเค็ม เผ็ด มีความเปรี้ยวจากมะเขือเทศลูกเล็กที่ใส่ลงไป มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของถั่วเน่าแผ่น มักจะใส่กระดูกหมู และหมูสับเพื่อให้ได้ความหวานจากกระดูกหมู ที่ขาดไม่ได้และจะต้องมีในน้ำเงี้ยวคือเลือดไก่ หั่นเป็นลูกเต๋า และดอกงิ้วเพื่อเพิ่มรสชาติ เคี่ยวไปจนกระดูกหมูมีความเปื่อย และส่งกลิ่นหอม ก็จะได้น้ำเงี้ยวรสชาติเข้มข้นมารับประทาน หากจะให้เข้ากันมากยิ่งขึ้นคนส่วนใหญ่มักทานคู่กับผักแกล้ม ซึ่งถ้าใครได้ไปรับประทานที่ร้านมักจะเจอตะกร้าผักสดที่มีผักให้เลือกแกล้มเยอะมาก หลัก ๆ จะเป็นกะหล่ำปลีซอย ถั่วงอก ถั่วฝักยาวสุกซอย แล้วแต่ตามใจชอบ แต่ถ้าจะให้ครบสูตรต้องรับประทานคู่กับแคบหมูก็จะเพิ่มความอร่อยมากขึ้น

หากใครที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่อยากให้ลองมาทาน “ขนมจีนน้ำเงี้ยว สันป่าข่อย กาดทรัพย์ทองคำ” แต่ต้องบอกก่อนว่าเค้าเปิดในช่วงเย็นประมาณ 16:00 น. แต่ช่วงที่คนนิยมไปมากที่สุดก็เห็นจะเป็นประมาณหลังเที่ยงคืน เป็นต้นไป ร้านนี้น่าจะเป็นจุดหมายแรก ๆ ของนักท่องราตรี ด้วยรสชาติของขนมจีนน้ำเงี้ยวร้อน ๆ มีความเผ็ดปนกับความหิวแล้ว ถึงกับต้องเดินไปต่อคิวสั่งกันอีกจาน นอกจากร้านนี้จะมีน้ำเงี้ยวที่เป็นเมนูยอดนิยมแล้ว ยังมีน้ำอื่น ๆ ให้เลือกอีก เช่น น้ำแกงเขียวหวาน ข้าวซอย น้ำยา มีให้เลือกเยอะมากไม่แปลกใจที่คนจะแน่นเกือบทุกวัน ร้านนี้หยุดวันอาทิตย์ ขนมจีนราคาย่อมเยา แค่ถ้วยละ 20 บาท แต่ถ้าใครอยากเพิ่มท็อปปิ้งอย่างเช่น ไข่ต้ม แคบหมู ก็เลือกเพิ่มกันได้ตามสบาย

ขนมเส้นสันป่าข่อย กาดทองคำ เปิดรอให้ท่านไปรับประทานไปจนกว่าของจะหมด เลยไม่มีกำหนดเวลาในการปิด แต่ตามปกติแล้วไม่น่าจะเกินตี 3 เพราะใคร ๆ ก็อยากมาฝากท้องที่นี่ก่อนกลับบ้านกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักท่องราตรีจนไปถึงคนทำงานกะดึกที่รอไปฝากท้องที่นี้ก่อนกลับกันทั้งนั้น ด้วยราคาที่ไม่แรง จึงเป็นอีกร้านที่ไม่ควรพลาดหากท่านกำลังนึกอยากจะรับประทานขนมจีนน้ำเงี้ยว สูตรต้นตำหรับ รสชาติอร่อย

ยิ่งดึกยิ่งหิว เดินชิลมาทาน “ข้าวต้ม นายเจือ” แห่งเมืองปากน้ำโพ

ข้าวต้มเป็นอาหารที่ทานง่าย สามารถรับประทานได้ทุกโอกาส โดยส่วนมากคนไทยมักทานเป็นอาหารเช้า เนื่องจากใช้เวลาในการปรุงไม่มาก เพียงแค่ต้มน้ำให้เดือด ใส่ข้าวลงไปก่อน รอให้ข้าวเดือด จึงใส่หมูสับ หรือ เนื้อสัตว์ตามต้องการลงไป ปรุงรสให้พอดี ใส่ผักชีเพื่อเพิ่มความหอม พอสุกสุกแล้วปิดไฟ และตักใส่ถ้วยได้ทันที คนไทยมักเรียกว่าข้าวต้มทรงเครื่อง แต่ในบางประเทศก็ใช้ข้าวโอ๊ต หรือข้าวชนิดอื่น ๆ ต้ม แต่ถ้าเราใช้เวลาต้มข้าวให้นานมากขึ้น เราก็จะได้เมนูใหม่ที่เรียกว่าโจ๊ก หรือจะทานข้าวต้มเปล่า ๆ คู่กับ กับข้าวอื่น ๆ เรียกว่าข้าวต้มพุ้ย หรือข้าวต้มกุ๊ย

วันนี้จะพาไปลัดเลาะยามค่ำคืนกันถึงจังหวัดนครสวรรค์ หรือที่เรียกกันติดปากว่าเมืองปากน้ำโพ หากใครกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดในภาคเหนือหรือจะเป็นการเดินทางจากภาคเหนือลงไปสู่ภาคกลางจะต้องผ่านจังหวัดนี้อย่างแน่นอน จึงไม่แปลกใจเลยที่มีคนขนานนามจังหวัดนครสวรรค์ว่าเป็นประตู่สู่ภาคเหนือ ถ้าพร้อมแล้วไปสำรวจกันดีกว่าว่าถ้าเราหิวข้าวตอนดึก ๆ จะมีร้านไหนที่เปิดต้อนรับบ้าง

พาลัดเลาะจนมาถึงถนนอารักษ์ ใกล้ ๆ กับร้านต้มเครื่องในหมูนายซุ้ยก็จะเจอกับร้านที่เก่าแก่แต่ยังมีชื่อเสียงอีกร้านหนึ่งของนครสวรรค์นั่นก็คือ “ร้านข้าวต้มนายเจือ” ก่อนจะเข้าไปในร้านเราจะเจอกับกลุ่มลูกค้าหลาย ๆ กลุ่มที่เดินสลับกันเข้าออกกันอย่างคึกคัก ก็จะเป็นอีกเหตุผลว่าร้านนี้ต้องเด็ด เริ่มจากเมนูแรกที่มาถึงแล้วจะต้องสั่งอย่างไก่คั่วเค็ม เป็นไก่ที่ทอดจนกรอบเนื้อจะร่วน ๆ รสชาติเค็ม มัน ทานคู่กับข้าวต้มร้อน ๆ เรียกน้ำย่อยให้เมนูต่อไปได้เป็นอย่างดี คนส่วนใหญ่นิยมสั่งผัดผักบุ้งไฟแดง ต้มซุปเปอร์รสแซ่บ หรือจะเป็นผัดหนำเลี๊ยบหมูสับ มาทาน แต่ก็น่าแปลกใจที่รสชาติเข้ากัน ข้าวต้มอุ่น ๆ กับอาหารร้อน ๆ อิ่มท้องกันยามดึก บรรยากาศภายในร้านจะมีโต๊ะยาว ๆ หลาย ๆ โต๊ะไว้รองรับสำหรับลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย ที่สำคัญอาหารที่สั่งก็ใช้เวลารอไม่นาน

สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมเรียกข้าวต้มกุ๊ย วันนี้มีมาบอกกันด้วยที่จริง ๆ แล้วเราเรียกอาหารชนิดนี้ว่าข้าวต้มพุ้ย ตามภาษาจีนแต้จิ๋ว สมัยก่อน เนื่องจากเวลาทานจะตักข้าวต้มแยก แล้วทานคู่กับ กับข้าวหลาย ๆ อย่าง เวลาทานจะทานโดยยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาแล้วใช้ตะเตียบพุ้ยเข้าปาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากคำว่าข้าวต้มพุ้ยก็กลายเป็นข้าวต้มกุ๊ยอย่างเช่นที่เราได้ยินกันจนทุกวันนี้ พิกัดอร่อยยามค่ำคืนนี้กับร้านข้าวต้มนายเจือ ที่เปิดคู่ความอร่อยมานานกว่า 40 ปี นี้ยังรอให้ผู้คนที่แวะผ่านเข้ามาได้มาลองชิมข้าวต้มกุ๊ยสไตล์แต้จิ๋ว มีเมนูให้เลือกสรร ราคากันเอง ใครผ่านมาแล้วไม่ได้ชิมก็เหมือนจะมาไม่ถึงพูดเลย