สำรวจสนามกีฬาอันยิ่งใหญ่: สนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี

ในใจกลางทวีปยุโรปเป็นประเทศที่ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬาเท่านั้น มันเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม ความหลงใหลที่รวมคนนับล้านเข้าด้วยกัน เยอรมนีซึ่งมีชื่อเสียงในด้านประวัติศาสตร์ฟุตบอลอันยาวนานและวัฒนธรรมของแฟนบอลที่กระตือรือร้น มีสนามกีฬาที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จากถนนที่พลุกพล่านในกรุงเบอร์ลินไปจนถึงมุมที่มีเสน่ห์ของบาวาเรีย สนามกีฬาขนาดมหึมาเหล่านี้ตั้งตระหง่านเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของคนทั้งประเทศกับเกมที่สวยงาม ออกเดินทางสำรวจสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี ซึ่งแต่ละสนามพิสูจน์ให้เห็นถึงมรดกทางฟุตบอลที่สืบทอดมายาวนานของประเทศ

ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค – ดอร์ทมุนด์

รู้จักกันในชื่อ “วิหารแห่งฟุตบอล” ซิกนัลอิดูนาพาร์ค ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีเมื่อพิจารณาจากความจุ ด้วยความจุที่นั่งของผู้สนับสนุนที่กระตือรือร้นมากกว่า 81,000 คน สนามกีฬาขนาดมหึมาแห่งนี้จึงกลายเป็นหม้อน้ำแห่งเสียงและอารมณ์ในวันแข่งขัน กำแพงสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นอัฒจันทร์สูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแฟนบอลผู้อุทิศตนซึ่งสวมชุดสีเหลืองและสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ของดอร์ทมุนด์ สร้างบรรยากาศอันน่าตื่นเต้นที่สร้างความหวาดกลัวให้กับทีมเยือน

สนามกีฬาอลิอันซ์ – มิวนิก

สนามกีฬา Allianz Arena ตั้งอยู่ในเมืองมิวนิกที่มีชีวิตชีวา โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมสมัยใหม่ สนามกีฬาล้ำสมัยแห่งนี้เป็นที่ตั้งของทั้งบาเยิร์น มิวนิก ทีมที่กำลังอยู่ภายใต้การจัดการของโธมัส ทูเคิ่ลและ TSV 1860 มิวนิค จุผู้ชมได้กว่า 75,000 คน ภายนอกอันโดดเด่นซึ่งส่องสว่างด้วยไฟ LED นับพันดวงที่สามารถเปลี่ยนสีได้ขึ้นอยู่กับทีมเหย้าที่เล่น ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนการแข่งขันที่สนามกีฬาสว่างไสวด้วยสีสันของบาเยิร์นหรือมิวนิกในปี 1860

สนามกีฬาโอลิมปิก – เบอร์ลิน

สนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงเบอร์ลินที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงสนามฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นและความสามัคคีของเยอรมนี เดิมสร้างขึ้นสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1936 ต่อมาได้รับการบูรณะและปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอล รวมถึงบุนเดสลีกาและการแข่งขันระดับนานาชาติ ด้วยความจุผู้ชมเกิน 74,000 คน Olympiastadion จึงเป็นพยานถึงช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของฟุตบอล รวมถึงการแข่งขัน FIFA World Cup รอบชิงชนะเลิศในปี 2549

เมอร์เซเดส-เบนซ์อารีน่า – สตุ๊ตการ์ท

Mercedes-Benz Arena เป็นที่ตั้งของ VfB Stuttgart และเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลชั้นนำของเยอรมนี ด้วยความจุที่นั่งมากกว่า 60,000 ที่นั่ง จึงมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำให้กับแฟนๆ ด้วยอัฒจันทร์ที่สูงชันทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ชมการแข่งขันในสนามได้อย่างยอดเยี่ยม การออกแบบที่ทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยของสนามกีฬาทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ชื่นชอบฟุตบอลและผู้ที่ดูคอนเสิร์ต

ไรน์เอเนอร์กีสตาดิโอน – โคโลญจน์

RheinEnergieStadion ตั้งอยู่ในใจกลางโคโลญ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความหลงใหลในฟุตบอลของเมือง สนามเหย้าของ 1. FC Köln สนามกีฬาแห่งนี้สามารถรองรับผู้ชมได้มากกว่า 50,000 คน มอบบรรยากาศที่ตื่นเต้นในวันแข่งขัน การออกแบบหลังคาที่เป็นเอกลักษณ์และความใกล้ชิดกับสนามทำให้แฟนๆ รู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

นี่เป็นเพียงสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดเพียงไม่กี่แห่งในเยอรมนี ซึ่งแต่ละแห่งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงคำรามอันดังกึกก้องของ Signal Iduna Park หรือแสงจ้าของ Allianz Arena สนามกีฬาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่สร้างความฝันและความทรงจำถูกหล่อหลอม ในขณะที่ฟุตบอลยังคงครองใจผู้คนหลายล้านคนทั่วเยอรมนี สนามกีฬาเหล่านี้จะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความรักอมตะต่อเกมการแข่งขันอันงดงามของประเทศนี้

ไวท์ ฮาร์ท เลน: ป้อมฟุตบอลประวัติศาสตร์

ไวท์ ฮาร์ท เลน ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบฟุตบอล ได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์กีฬา สนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มานานกว่าศตวรรษ สนามกีฬาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้ได้พบเห็นชัยชนะ ความโศกเศร้า และช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์อย่างแท้จริง เริ่มต้นการเดินทางผ่านเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันที่น่าหลงใหลของไวท์ ฮาร์ท เลน

จุดเริ่มต้นในตำนาน

ไวท์ ฮาร์ท เลน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2442 เป็นคำตอบของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต่อความทะเยอทะยานที่เพิ่มขึ้นของสโมสร สนามกีฬาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขต Haringey ของลอนดอน เดิมทีมีความจุไม่มาก อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรับปรุงและขยายอย่างต่อเนื่อง สนามแห่งนี้ได้พัฒนาเป็นสนามฟุตบอลที่น่าเกรงขามที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ

ค่ำคืนอันรุ่งโรจน์และความสำเร็จที่น่าจดจำ

ไวท์ ฮาร์ท เลนได้เห็นส่วนแบ่งของความรุ่งโรจน์ของฟุตบอล ในฤดูกาล 1960-61 ท็อตแนมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ลีกและเอฟเอคัพได้สำเร็จ ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรในยูโรเปี้ยนคัพวินเนอร์สคัพในปี 1963 และชัยชนะในประเทศอื่น ๆ อีกมากมายได้ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้ในประวัติศาสตร์ของสนามกีฬา

บรรยากาศ

บรรยากาศที่เข้มข้นและเสียวสันหลังวาบที่ไวท์ ฮาร์ท เลนเป็นข้อพิสูจน์ถึงการสนับสนุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของฐานแฟนตัวยงของท็อตแนม ผู้ซื่อสัตย์ของสเปอร์สซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลง สร้างบรรยากาศที่น่าตื่นตาที่ข่มขู่คู่ต่อสู้และกระตุ้นทีมของพวกเขาให้สูงขึ้น

กล่าวลาไวท์ ฮาร์ท เลน

ในปี 2560 ไวท์ ฮาร์ท เลน กล่าวคำอำลาต่อสาวกผู้ซื่อสัตย์ สนามกีฬาได้รับการปรับปรุงโครงการเพื่อเพิ่มความจุและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันสมัย สโมสรได้ย้ายไปที่สนามเวมบลีย์เป็นการชั่วคราว และความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเปิดตัวสถานที่อันล้ำสมัยแห่งใหม่

การเติบโตของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม

บ้านหลังใหม่ของสโมสรแห่งนี้มีชื่อว่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม โผล่ออกมาจากพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของไวท์ ฮาร์ท เลน เปิดให้บริการในปี 2019 โดยยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของรุ่นก่อน ในขณะที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและความจุที่เพิ่มขึ้น ไก่ตัวผู้สีทองอันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรได้รับการบูรณะอย่างระมัดระวังและตั้งตระหง่านอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้ มองเห็นสนามได้

คืนสู่เหย้าแห่งความรุ่งโรจน์

เมื่อสโมสรกลับไปยังป้อมปราการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ สโมสรได้เปิดยุคใหม่แห่งความทะเยอทะยานและความทะเยอทะยาน สนามกีฬาแห่งนี้ใช้จัดการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พร้อมชมการกลับมาที่ไม่มีวันลืมและช่วงเวลาที่น่าจดจำ มันกลายเป็นเวทีให้เหล่าดาราได้ฉายแสง ขณะที่ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์โชว์ศักยภาพของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับทีมชั้นนำของยุโรป

วิญญาณนิรันดร์

แม้ว่าไวท์ ฮาร์ท เลนจะยังคงอยู่ในความทรงจำ แต่จิตวิญญาณของมันยังคงฝังแน่นอยู่ภายในสนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม สนามใหม่เป็นเครื่องยืนยันถึงมรดกของสโมสรและความหลงใหลของแฟนๆ โดยคงไว้ซึ่งมนต์ขลังของสนามดั้งเดิมในขณะที่เปิดรับอนาคต

สรุป

ไวท์ ฮาร์ท เลน จะถูกจดจำไปตลอดกาลว่าเป็นสถานที่เกิดและเติมเต็มความฝันของฟุตบอล มรดกตกทอดมาจากท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม สิ่งมหัศจรรย์สมัยใหม่ที่อบอวลไปด้วยประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องราวและจิตวิญญาณอันแน่วแน่ของรุ่นก่อน ในขณะที่ฟุตบอลพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ไวท์ฮาร์ทเลนมีความสำคัญในฐานะป้อมปราการฟุตบอลอันเป็นที่รักไม่มีวันเสื่อมคลาย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

ฟุตบอลกับเบียร์ เพื่อนแท้ความมัน สายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด

เชื่อว่าทุกคนที่มีความหลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งฟุตบอล คงจะได้เห็นการที่มีเบียร์ดังยี่ห้อต่าง ๆ เป็นผู้สนับสนุนหลักในรายการแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ ๆ ของโลก และอาจเคยตั้งคำถามว่าทำไมผู้สนับสนุนกีฬาชนิดนี้จะต้องเป็นเครื่องดื่มประเภทนี้ โดยเฉพาะบางขณะที่ทำให้ผู้ชมในบางประเทศที่เคร่งศีลธรรมต้องเสียอารมณ์กับการเบลอภาพข้างสนาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าบริษัทเบียร์เหล่านี้แหละที่ทำให้เราได้ดูรายการแข่งขันดี ๆ เหล่านั้น เพราะถ้าไม่มีผู้สนับสนุนเหล่านี้งบประมาณในการจัดการแข่งขันคงต้องหายตามไปด้วยอย่างแน่นอน

สำหรับสาเหตุที่บรรดาผู้ผลิตเบียร์เจ้าใหญ่ต่างพุ่งมาสนับสนุนกีฬาฟุตบอล นั่นก็เพราะว่ากีฬาฟุตบอลกับเบียร์นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น ชนิดที่ว่าตัดกันไม่ขาดเลยก็ว่าได้ และแฟนฟุตบอลก็เป็นกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดของเครื่องดื่มชนิดนี้ที่ใหญ่มากด้วย ลองคิดดูว่าจะมีที่ไหนที่จะเอาคนที่หลงใหลในรสของเบียร์มารวมกันไว้หลายหมื่นคน นอกจากสนามฟุตบอล โดยเฉพาะในรายการแข่งขันที่รวมเอาบรรดายอดทีมที่มีฐานแฟนบอลเหนียวแน่นมาไว้ด้วยกัน

ซึ่งหากจะถามหาสาเหตุที่แฟนฟุตบอลต่างหลงใหลในรสของเบียร์นั้น คงต้องย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดฟุตบอล ที่มีจุดกำเนิดมาจากชนชั้นแรงงาน เมื่อถึงเวลาพักผ่อนจากการทำงานสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายได้ดีที่สุด สำหรับพวกเขาก็หนีไม่พ้นฟุตบอลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล แล้วพวกเขาก็เป็นผู้ที่หลงใหลในฟุตบอลอย่างมากและก็ดื่มหนักมากในเวลาเดียวกัน ซึ่งเครื่องดื่มที่พวกเขาโปรดปรานและราคาที่พวกสามารถเอื้อมถึงได้ก็คือเบียร์ ซึ่งวัฒนธรรมการดื่มนี้ก็ถูกถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง มาพร้อมกันกับความสนุกตื่นเต้นของกีฬาฟุตบอลมาจนถึงทุกวันนี้

ในปัจจุบันนั้นฟุตบอลกับเบียร์แทบจะแยกกันไม่ออกเลยว่า สิ่งไหนเป็นที่หลงใหลของแฟนบอลมากกว่ากันระหว่างฟุตบอลกับเบียร์ เพราะเบียร์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอลไปแล้ว เราจะเห็นได้เสมอกับการที่แฟนบอล Fun88 แทงบอล พร้อมๆ กับดื่มทั้งในและนอกสนาม รวมไปถึงเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางไปเชียร์ฟุตบอลตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเบียร์ก็เป็นทั้งตัวช่วยในการดึงอารมณ์ร่วมของเกมฟุตบอล และสิ่งที่ใช้เฉลิมฉลองชัยชนะหลังเกมการแข่งขันอีกด้วย เราจึงมักจะเห็นร้านขายเบียร์ที่เต็มไปด้วยแฟนบอล อยู่รอบสนามฟุตบอลแทบจะทุกแห่งเลย และนี่จึงเป็นเหตุให้เราได้เห็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ ตลอดมา

เมื่อมองจากอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ฟุตบอลกับเบียร์นั้นคงจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้เสียแล้ว ดังนั้นหากคุณคือหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลแล้วละก็ มันคงจะดีไม่น้อยหากจะมองหาเบียร์เย็น ๆ ไว้สำหรับประกอบการเชียร์ทีมรักของคุณในเกมต่อไป พร้อมกับเพื่อนผู้หลงใหลในเกมฟุตบอลและความนุ่มของเบียร์เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มบรรยากาศและความมันให้มากขึ้นไปกว่าเดิม

การดื่มเบียร์จากถ้วยสแตนลีย์ เกียรติยศสูงสุดของนักฮอกกี้น้ำแข็ง

เบียร์กับกีฬานั้นเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร จนไม่สามารถแยกออกได้ว่าความจริงแล้วเป็นเบียร์ที่ช่วยให้การแข่งขันกีฬาสนุก หรือเป็นกีฬาที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับการดื่มเบียร์กันแน่ แต่สำหรับนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งแล้ว เบียร์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องดื่มประกอบการชมของแฟนกีฬาเท่านั้น สำหรับนักกีฬาแล้วการได้ดื่มเบียร์ที่อยู่ในถ้วยสแตนลีย์ ยังถือเป็นเกียรติยศสูงสุดในเส้นทางอาชีพนักกีฬาของพวกเขาอีกด้วย

ถ้วยสแตนลีย์ (Stanley cup) เป็นถ้วยรางวัลที่จะมอบให้เป็นรางวัลแก่ผู้ชนะในการแข่งขัน ฮอกกี้ลีกอาชีพในทวีปอเมริกาเหนือ หรือลีกฮอกกี้แห่งชาติ (NHL) ที่มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 31 ทีมจากสองประเทศคือสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยถือเป็นรายการแข่งขันฮอกกี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เหมือนกับการแข่งขันบาสเก็ตบอล เอ็นบีเอ ซึ่งสำหรับชาวอเมริกันแล้วถือเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่มีผู้คนให้ความนิยมอย่างมาก ไม่แพ้เบสบอลและบาสเก็ตบอลเลยทีเดียว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในประเทศอื่น ๆ ทำให้เราไม่ค่อยจะได้เห็นกีฬาชนิดนี้ตามหน้าสื่อซักเท่าไรนัก แต่สำหรับในโซนอเมริกาเหนือโดยเฉพาะสองประเทศนี้แล้ว ถือว่าเป็นกีฬาที่มีผู้คนนิยมมาอย่างยาวนานเลยทีเดียว ทำให้การแข่งขันลีกอาชีพนี้เป็นรายการแข่งขันที่มีมาอย่างยาวนานอีกด้วย โดยมีการเริ่มต้นแข่งขันกันตั้งแต่ปี 1917 ที่ประเทศแคนาดา ซึ่งเริ่มต้นด้วยการแข่งขันกันเพียงแค่ 4 ทีมเท่านั้น ก่อนที่จะมีทีมจากฝั่งอเมริกาเข้าร่วมในปี 1942 ซึ่งช่วงเวลาจาก 1942-1967 พวกเขามีทีมในลีกทั้งหมดแค่ 6 ทีม ซึ่งทำให้ทั้งหกทีมนั้นถูกเรียกว่า “ออริจินอล ซิกซ์” มาจนถึงทุกวันนี้ และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยจนเป็นรายการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฮอกกี้อย่างในปัจจุบัน

หนึ่งในสิ่งที่ยืนยันความนิยมกีฬาชนิดนี้ก็คือ การที่ถ้วยสแตนลีย์รางวัลเกียรติยศของผู้ชนะในการแข่งขันนั้น ถือเป็นถ้วยรางวัลที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือนั่นเอง เรียกว่าเป็นรายการแข่งขันที่มีถ้วยรางวัลมาก่อนกีฬาชนิดอื่นเลยในโซนนั้น และในการเฉลิมฉลองแชมป์ในรายการนี้ยังมีประเพณีน่ารัก ๆ อีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นก็คือผู้ที่ชนะเลิศจะทำการดื่มเบียร์ที่ถูกเทลงในส่วนบนของถ้วยรางวัลที่เก่าแก่ใบนี้นั่นเอง ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนความฝันของนักฮอกกี้ทุกคนที่จะได้สัมผัสกับเกียรติยศสูงสุดของพวกเขาผ่านเบียร์บนถ้วยสแตนลีย์ ที่ทั้งเก่าแก่และทรงคุณค่าใบนี้

นี่คือรายการแข่งขันกีฬาอาชีพที่มีมายาวนานกว่าร้อยปี ซึ่งผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน และพวกเขาก็เลือกที่จะบันทึกเรื่องราวของเกียรติยศของผู้ชนะคนแล้วคนเล่า ผ่านเครื่องดื่มที่เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก บนปลายสุดของถ้วยรางวัลที่ทรงคุณค่าที่สุดใบหนึ่งของโลก นับว่าเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเบียร์กับกีฬา ที่ไปด้วยกันได้อย่างสวยงามอีกคู่หนึ่งในโลกนี้เลยทีเดียว

สตาดีโอ โอลิมปีโก รังเหย้าของสองนักรบแห่งโรมัน

เราอาจจะเคยได้เห็นการใช้สนามเหย้าร่วมกัน ของสองทีมฟุตบอลที่อยู่ร่วมเมืองเดียวกันมาแล้วหลายแห่ง ทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก ซึ่งบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความตึงเครียดเสมอยามที่ต้องเตะกันเอง หรือที่เราเรียกกันว่า “ดาร์บี้ แมทช์” ยกตัวอย่างก็เช่นสองทีมใหญ่แห่งเมืองมิลานลงเตะกันเองในซาน ซิโร (จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า) ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครยอมใคร แต่ถ้าจะเทียบสนามสตาดีโอ โอลิมปีโก แห่งกรุงโรมแล้วละก็ ต้องบอกเลยว่าคู่แห่งศักดิ์ศรีเมืองมิลานต้องชิดซ้ายไปอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะว่าสนามโอลิมปิกแห่งโรมนั้น ถูกใช้เป็นรังเหย้าร่วมกันของสองทีมใหญ่จากเมืองหลวงอย่างโรม่า และลาซิโอ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสองทีมที่แฟนบอลต่างมีเลือดนักรบโรมันอยู่อย่างเต็มเปี่ยม จึงไม่มีใครยอมใครทั้งนั้นและแฟนบอลของทั้งสองทีมนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มแฟนบอลป่าเถื่อนหรือ “ฮูลิแกน” ที่ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศเลยทีเดียว ดังนั้นยามใดที่มีศึกผ่าเมืองของกรุงโรมเกิดขึ้นที่นี่ เหล่าแฟนบอลเจ้าปัญหาเหล่านี้มักจะสร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเสมอ ไม่ว่าจะภายในสนามสตาดีโอ โอลิมปีโกหรือแม้แต่ตามท้องถนนก็ตาม เหล่านักรบโรมันของทั้งสองทีมก็พร้อมที่จะยั่วยุซึ่งกันและกัน รวมไปถึงพร้อมปะทะกันได้ตลอดเวลา และที่สำคัญทั้งสองทีมต่างก็เป็นทีมที่เล่นอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศอีกด้วย ทำให้อย่างน้อย ๆ จะการันตีว่ามีแมทช์ให้ปะทะกันแน่ ๆ สองเกมด้วยกัน

แต่สนามแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีแต่ปัญหาจากกลุ่มแฟนบอลหัวรุนแรงเท่านั้น สตาดีโอ โอลิมปีโกแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในสังเวียนแข้งที่สำคัญของประเทศอิตาลีอีกด้วย ด้วยความที่เป็นสนามกีฬาที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่แห่งหนึ่ง (เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1937) แถมยังตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอิตาลี ทำให้สนามแห่งนี้เปรียบเสมือนกับโคลอสเซียมของโรมในอดีต สนามแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศบอลถ้วยของอิตาลี และได้รับเกียรติให้จัดการแข่งขันรายการสำคัญ ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิกเกมส์ นัดชิงยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก นัดชิงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รวมไปถึงนัดชิงฟุตบอลโลกก็ล้วนแล้วแต่เคยมาใช้บริการสนามแห่งนี้มาแล้วทั้งสิ้น

สตาดีโอ โอลิมปีโก เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งกรุงโรม เป็นเหมือนจุดรวมของอาณาจักรโรมันในอดีตกับกรุงโรมปัจจุบัน เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งเลือดนักสู้และการนิยมการแข่งขันต่าง ๆ ของชาวโรมัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่น่าไปเยือนอย่างมากหากมีโอกาสได้ไปอิตาลี ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ พยายามอยู่ห่างจากสนามแห่งนี้เข้าไว้ ในวันที่มีการต่อสู้กันของสองสายเลือดนักรบโรมัน อย่างโรม่าและลาซิโอเพื่อความปลอดภัยของคนนอกอย่างพวกเรา แค่นั้นก็พอ

ตำนาน “นรกลูกหนังแห่งตุรกี” อลี ซามี เยน

ถ้าหากถามนักฟุตบอลที่เคยไปสัมผัสบรรยากาศในสนาม อลี ซามี เยน ของกาลาตาซารายทีมดังตุรกีมาแล้ว ว่าเขาอยากจะกลับไปเยือนอีกซักครั้งหรือไม่ เชื่อว่าไม่มีใครอยากกลับไปเยือนที่แห่งนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีแค่ไหนอยู่กับทีมที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหากว่าทีมของคุณไม่ใช่กาลาตาซารายแล้วละก็ สนามแห่งนี้ก็คือนรกในเกมฟุตบอลของคุณอย่างแน่นอน

“อลี ซามี เยน” เป็นชื่อเก่าของรังเหย้าทีมดังจากตุรกี ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเติร์ก เทเลคอม อารีนา เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อตั้งสโมสร คือ อลี ซามี เฟรเชรี่ ซึ่งเปลี่ยนนามสกุลของเขาที่เป็นชื่อแอลแบเนียนตามเชื้อสายมาเป็น “เยน” ซึ่งมีความหมายว่าผู้ชนะในภาษาตุรกี เพื่อระลึกถึงเขาในฐานะผู้ก่อตั้งและพาทีมเป็นแชมป์ลีกตุรกีได้ถึงสามสมัย ในเวลาการเล่นของเขากับทีมเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นเอง

สาเหตุที่สนามแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “นรกลูกหนังแห่งตุรกี” ก็เพราะว่าบรรยากาศการเชียร์ภายในสนามนั้นของแฟนบอลที่นี่นั้น เต็มไปด้วยความดุเดือดคุกคามและรุนแรงอย่างมาก จนทำให้นักฟุตบอลทีมเยือนเล่นไม่ออกกันเลยทีเดียว และไม่ใช่แค่นักเตะธรรมดาทั่วไปเท่านั้นที่จะโดนบรรยากาศของสนามแห่งนี้เล่นงาน แม้แต่ผู้เล่นระดับโลกหลายต่อหลายคนก็เคยมาพบกับความปราชัยที่แล้วทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ราชันชุดขาวในยุดกาลาคติกอสที่มีซูเปอร์สตาร์ล้นทีม ดังนั้นในยุคนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นทีมใหญ่ขนาดไหนก็ตาม หากจับต้องฉลากมาเจอกับกาลาตาซารายแล้วละก็ สิ่งที่ต้องทำก็คือยิงตุนในบ้านตัวเองไว้เยอะ ๆ เลยจะดีที่สุด เพราะหากคุณคาดหวังมาชนะที่อลี ซามี เยน ละก็ต้องบอกเลยว่ายากมาก ๆ

ไม่เพียงแค่บรรยากาศในสนามเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ ไรอัน กิ๊กส์ ปีกพ่อมดแห่งทัพปีศาจแดงเคยเล่าว่า นอกจากบรรยากาศในสนามจะชวนให้ก้าวขาไม่ออกแล้ว พวกเขายังโดนแฟนบอลหัวรุนแรงของฝั่งเจ้าบ้าน ผลัดกันมาเมามายและตะโกนโหวกเหวกหน้าที่พักทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้หลับได้นอน ทั้งยังมีแฟนบอลตะโกนข่มคู่คุกคามตลอดการเดินทางสู่สนาม แถมพอไปถึงแฟนจำนวนมากก็เข้าไปรอและเริ่มกดดันผู้เล่นทีมเยือนตั้งแต่ช่วงลงอบอุ่นร่างกายกันเลยทีเดียว เรียกว่าทำทุกอย่างที่ทำให้ทีมของพวกเขาได้เปรียบเลยก็ว่าได้

ปัจจุบันนั้นกฎการควบคุมแฟนบอลนั้นเข้มงวดและมีโทษรุนแรงมากขึ้น ทำให้บรรยากาศดุเดือดของนรกลูกหนังดูเบาลงกว่าเดิมมาก และข่มขวัญนักเตะทีมเยือนได้ไม่มากเหมือนที่เคยเป็น แต่ก็ต้องบอกว่าสนามแห่งนี้ยังคงมีบรรยากาศการเชียร์ที่ดุเดือดมากกว่าหลาย ๆ ที่ในโลก ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ยังคงไม่มีนักฟุตบอลคนไหนที่อยากจะไปเยือน “นรกลูกหนัง” แห่งนี้อย่างแน่นอน

สนาม “เดอะ เดน” บ้านของฮูลิแกน และฝันร้ายของแฟนบอลทีมเยือน

ถ้าหากว่าคุณกำลังจะตามไปเชียร์ทีมฟุตบอลในดวงใจของคุณ และพวกเขามีโปรแกรมที่จะต้องไปเยือนทีมเล็ก ๆ ทีมหนึ่งอย่างมิลล์วอลล์แล้วละก็ ก่อนอื่นคือคุณจะต้องหยุดและคิดดูอีกซักครั้งก่อนที่จะตัดสินใจ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเป็นทีมใหญ่ฟอร์มร้อนแรงพร้อมจะถล่มทีมรักของคุณแต่อย่างใด แต่สิ่งที่จะต้องนำมาคิดไตร่ตรองอีกครั้งก็คือความปลอดภัยของตัวคุณเองนั่นแหละ เพราะสนามเดอะ เดน ซึ่งเป็นสนามเหย้าของพวกเขานั้นเป็นแหล่งรวมของแฟนบอลที่ป่าเถื่อนที่สุดทีมหนึ่งบนเกาะอังกฤษนั่นเอง

สนามเดอะ เดน (The Den) รังเหย้าของมิลล์วอลล์นั้น ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน เป็นสนามที่มีขนาดเล็กมีความจุเพียงแค่สองหมื่นกว่าที่นั่งเท่านั้น แต่มันกลับเป็นสถานที่น่ากลัวมากสำหรับแฟนบอลทีมเยือน เพราะด้วยความที่มีสนามที่เล็กและแคบ แต่ดันบรรจุไปด้วยแฟนบอลหัวรุนแรงทั้งนั้น เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและคุกคามจึงดังก้องมากเป็นพิเศษ และหากคุณอยู่ฟังแฟนทีมเยือนแล้วละก็จะต้องพยายามข่มอารมณ์กับคำด่าทอเหล่านั้นให้ได้ เพราะถ้าอีกฝั่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้แล้วนั้น ทางฝั่งเจ้าบ้านเค้าก็พร้อมจะปะทะเสมอและเรื่องมักจะจบลงด้วยการนองเลือดอยู่เป็นประจำ นอกจากการปะทะกันกับแฟนบอลทีมเยือนแล้ว กับคำตัดสินของกรรมการที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจก็เช่นกัน มักจะมีการเสียงตะโกนด่าทอรวมถึงขว้างปาสิ่งของมาจากพวกเขาเสมอ หากเห็นว่ากรรมการตัดสินไม่เป็นธรรมต่อพวกเขา

ด้วยความที่พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่เก่าแก่ และอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงลอนดอน ที่สำคัญพวกเขาดันเล่นอยู่แค่ในลีกเล็กระดับล่างเท่านั้น ทำให้เป็นปมด้อยที่พวกเขาโดนแฟนบอลทีมอื่นที่ใหญ่กว่าเยาะเย้ยถากถาง ซึ่งแฟนบอลมิลล์วอลล์ก็เป็นพวกจุดเดือดต่ำซะด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะปวดหัวเสมอเมื่อมีการแข่งขันระหว่างมิลล์วอลล์กับทีมร่วมเมืองลอนดอน โดยเฉพาะเป็นการเจอกันของมิลล์วอลล์กับเวสต์แฮมอีกหนึ่งทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องฮูลิแกนแล้วระก็ ถึงกับต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินเพื่อควบคุมสถานการณ์เลยทีเดียว ก็ยังถือเป็นข่าวดีของเจ้าหน้าที่อยู่บ้างที่พวกเขาทั้งคู่เล่นอยู่คนละดิวิชั่นกัน แต่ถึงจะมีการควบคุมเข้มงวดเพียงใดก็ยังคงมีการเปิดเผยจากทางตำรวจว่า มีคดีการใช้ความรุนแรงและใช้อาวุธทำร้ายแฟนบอลคู่แข่งของฮูลิแกนฝั่งมิลล์วอลล์มากถึง 56 คดีจากช่วงเวลาเพียงแค่ 4 ปีที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ จะถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงจะดีมากในปัจจุบัน แต่สำหรับแฟนบอลทีมเยือนแล้วสนามเดอะ เดน ยังคงเป็นที่ที่น่ากลัวเสมอ หากอยากรู้ว่าน่ากลัวแค่ไหนก็ลองหาหนังเรื่อง “อันธพาลลูกหนัง”(Green Street Hooligans) มาดูก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าที่นั่นน่ากลัวเพียงใด และจะได้หาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนที่จะเข้าไปชมทีมรักของคุณ

สนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว บัลลังก์แห่งราชันชุดขาว

ถ้าจะพูดถึงสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านขนาดและความสำเร็จบนโลกแห่งฟุตบอลแล้วละก็ ชื่อหนึ่งที่จะติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกฟุตบอลจะต้องเป็นชื่อสนาม “ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว” สนามเหย้าของทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ในประเทศสเปนอย่างแน่นอน เพราะตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานบนโลกลูกหนังของสนามแห่งนี้ มีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่มากมายบนโลกฟุตบอลเกิดขึ้นจบลงและถูกจารึก ไว้บนสังเวียนลูกหนังที่ได้ชื่อว่า เป็นบัลลังก์ของราชันชุดขาวแห่งนี้

แรกเริ่มเดิมทีนั้นมาดริดมีสนามเหย้าที่ชื่อว่า คัมโป เด โอดอนเนลในช่วงก่อตั้งสโมสร และได้ทำการย้ายสนามเกิดขึ้นเพื่อรองรับจำนวนแฟนบอลที่มากขึ้นในช่วงปี 1923 มาเป็นสนามที่มีชื่อว่า “ชามาร์ติน” ซึ่งในเวลาต่อมาสนามแห่งนี้ก็กลายเป็นสนามที่เล็กเกินไปอีกครั้ง ตามจำนวนแฟนบอลที่มากขึ้นทุกวันของทีม ทำให้ประธานสโมสรในขณะนั้นเกิดแนวคิดที่จะสร้างสนามขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับฐานแฟนบอลที่จะมากขึ้นไปอีกในอนาคตด้วย จึงได้ทำการสร้างสนามแห่งนี้ขึ้นมาในปี 1943 แต่ก็ยังคงใช้ชื่อสนามตามชื่อเดิมอยู่นั่นคือ “ชามาร์ติน” จนกระทั้งเมื่อปี 1955 จึงได้เปลี่ยนชื่อสนามแห่งนี้ตามชื่อของประธานสโมสรที่ได้ทำการสร้างมันขึ้นมาคือ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เยสเต้ และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน

เบอร์นาเบวนั้นปัจจุบันมีความจุสูงถึง 81,044 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นความจุที่ใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งในวงการฟุตบอล นอกจากจะเป็นสนามที่มีขนาดใหญ่แล้ว ภายในยังมีทั้งโรงแรมห้อง พักนักกีฬา พิพิธภัณฑ์และหอเกียรติยศ ซึ่งบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ฟุตบอลของทีมไว้เปิดให้แฟนบอลเข้าไปชมอีกด้วย แถมยังเป็นสนามที่ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจใจกลางมหานครมาดริดเมืองหลวงของสเปน ทำให้มีผู้คนทั้งแฟนบอลและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก สนใจเข้าเยี่ยมชมสนามแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย ที่สำคัญเบอร์นาเบวยังสถานีรถไฟฟ้าเป็นของตัวเองไว้รองรับผู้คนที่จะเดินทางมาอีกด้วย

ในด้านความสำเร็จและประวัติศาสตร์ฟุตบอลนั้น ซานติอาโก้ เบอร์นาเบวเคยถูกเลือกให้ราคาต่อรองจาก Fun88 เป็นเต็งสังเวียนนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกมาแล้วถึง 3 สมัย และยังเคยเป็นสนามที่ใช้จัดนัดชิงฟุตบอลนัดชิงยูโร 1964 ซึ่งทีมชาติสเปนสามารถคว้าแชมป์ในบ้านตัวเองที่สนามแห่งนี้ได้สำเร็จอีกด้วย และยังมีโอกาสได้จัดฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศอีกหนึ่งครั้งในปี 1982 แต่ครั้งนี้เป็นการบันทึกความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ของอิตาลีแทน เพราะเจ้าภาพอย่างสเปนชิงตกรอบรองชนะเลิศไปก่อนอย่างน่าเสียดาย นอกจากจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ทั้งในส่วนของทีมชาติและทีมสโมสรแล้ว ความสำเร็จของทีมเรอัล มาดริดและเหล่าผู้เล่นระดับโลกหลายคน ต่างก็ก้าวเข้ามาเพื่อตามหาความฝันและความสำเร็จในเส้นทางฟุตบอล ในสนามแห่งนี้กันแบบไม่เคยขาดสาย ทำให้ทุกยุคทุกสมัยที่สนามแห่งนี้จะมีผู้เล่นที่ดีที่สุดของโลกอยู่ในทีมเสมอ และผลที่ตามมาก็คือความสำเร็จที่พวกเขากวาดมาสู่หอเกียรติยศในสนามแห่งนี้มากมายตามไปด้วย ทั้งแชมป์ลีก 34 ใบ แชมเปี้ยนลีก 13 ใบ โคปา เดอ เรย์ 19 ใบ ยังไม่นับรายการย่อยออื่น ๆ เพียงเท่านี้ก็หาทีมที่จะไล่ตามพวกเขาได้ยาก สมกับฉายาที่ถูกเรียกว่า “ราชัน” อย่างแท้จริง

ปัจจุบันซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ไม่ใช่เป็นเพียงสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงมาดริดอีกด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีว่าสนามแห่งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่ของรายได้และความสำเร็จด้านฟุตบอล และทางสโมสรกำลังวางแผนที่จะปรับปรุงสนามครั้งใหญ่อีกครั้ง ดังนั้นรับองได้เลยว่า ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว จะยังคงเป็นสถานที่บันทึกเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของโลกฟุตบอลไปอีกนานเท่านาน

Carragher’s Pub & Restaurant อีกจุดหมายที่ต้องไปเยือนของแฟนลิเวอร์พูล

อาชีพนักฟุตบอลถึงแม้ว่าจะเป็นอาชีพที่ให้ความร่ำรวยแก่นักเตะอย่างมาก แต่ข้อเสียของอาชีพนี้ก็คือการที่มีช่วงเวลาให้กอบโกยความสำเร็จไม่มากนัก และมีวัยเกษียณที่มาเร็วกว่าอาชีพอื่น ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องใช้ความแข่งแกร่งของร่างกาย ซึ่งย่อมจะเสื่อมสลายไปตามวัยนั่นเอง ทำให้มีนักฟุตบอลหลายคนที่หาธุรกิจอื่น ๆ เป็นอาชีพเสริมไปด้วยเพื่อเป็นธุรกิจเลี้ยงตัวเองหลังแขวนสตั๊ด แล้วถ้านักเตะคนนั้นเป็นถึงระดับตำนานสโมสรแห่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ธุรกิจของเขาจะได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลกเช่นกัน

เขาคนนั้นก็คือ เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูลนั่นเอง โดยคาร์ราเป็นหนึ่งในนักเตะที่เป็นที่รักอย่างยิ่งของแฟนหงส์แดง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีฝีเท้าที่โดดเด่นอะไรมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาชนะใจแฟนบอลก็คือความรักและความทุ่มเทที่เขามีให้กับสโมสรแห่งนี้เพียงแห่งเดียว จนทำให้เขาถูกตั้งฉายาให้ว่า “มิสเตอร์ลิเวอร์พูล” เลยทีเดียว  และคาร์ราก็ได้เริ่มหาอาชีพเสริมในช่วงบั้นปลายอาชีพนักเตะของเขา ซึ่งธุรกิจนั้นก็คือร้านอาหารแบบกึ่งผับนั่นเอง

ร้านของคาร์รานั้นตั้งอยู่ในละแวกเดียวกันกับสนามแอนฟิลด์รังเหย้าของหงส์แดง เมื่อสถานที่ตั้งรวมกันเข้ากับชื่อเสียงของเจ้าตัวแล้ว มันจึงทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์รวมของแฟนบอลลิเวอร์พูลภายในเวลาไม่นาน ซึ่งพวกเขาใช้เป็นสถานที่พบปะกันสำหรับกลุ่มแฟนบอลเพื่อพูดคุย ชมการถ่ายทอดสดเกมสำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าไปในสนาม รวมไปถึงเป็นสถานที่ปาร์ตี้ฉลองชัยในยามที่ทีมชนะ มันจึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของแฟนหงส์ไปในที่สุด

ด้วยความที่เป็นมิสเตอร์ลิเวอร์พูลของเขา ทำให้เขารู้ว่าแฟนลิเวอร์พูลต้องการสิ่งไหน เขาจึงจัดบรรยากาศในร้านได้แบบโดนใจแฟนหงส์เป็นที่สุด โดยภายในจะแบ่งเป็นโซนผับหลัก โซนเดอะทีมที่ประดับตกแต่งไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ของทีม และโซนลิเวอร์พูลผับเป็นพื้นที่สำหรับแฟนหงส์โดยเฉพาะเพื่อชมถ่ายทอดสดและปาร์ตี้ฉลองชัย ทำให้จากที่เป็นศูนย์รวมแฟนหงส์ในเมืองลิเวอร์พูล ผับแห่งนี้ค่อย ๆ โด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของแฟนหงส์แดงในปัจจุบัน ที่ถ้าหากว่าคุณเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลและได้ไปเยือนเมืองนี้แล้วละก็ สถานที่ต้องห้ามพลาดที่จะไปเยือนคือสนามแอนฟิลด์และ คาร์ราเกอร์ ผับแอนด์เรสเทอรองต์เลยทีเดียว

เมื่อมีแฟนบอลจากทั่วทุกมุมโลกที่อยากจะสัมผัสบรรยากาศของผับแห่งนี้ ทำให้คาร์ราเริ่มที่จะขยายสาขธุรกิจของเขาออกไปนอกประเทศ เพื่อให้แฟนบอลมีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มที่อเมริกาเป็นที่แรก โดยยังคงคอนเซ็ปต์บรรยากาศของทีมลิเวอร์พูลอันเป็นจุดเด่นหลักของร้านไว้เช่นเดิม และเพิ่มเติมบรรยากาศแบบ “รูฟท็อป” เข้ามาอีกด้วยทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก

การขยายสาขาของคาร์ราเกอร์ ผับ แอนด์ เรสเทอรองต์ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นข่าวดีที่จะทำให้แฟนหงส์แดงจากทั่วทุกมุมโลกได้สัมผัสหนึ่งในแลนด์มาร์กของหงส์แดงได้ง่ายขึ้นแล้ว บางทีถ้าหากธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จ ในอนาคตอาจจะขยายสาขามาใกล้บ้านเรามากขึ้นอีกก็ได้

เรอัล คาเฟ่ เบอร์นาเบว สถานที่สำหรับคนพิเศษของราชัน (ชุดขาว)

สนามซานติอาโก เบอร์นาเบว นอกจากจะเป็นสนามกีฬาฟุตบอลที่ใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยบริการต่าง ๆ มากมายทั้งที่เที่ยวที่พักและสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ หากคุณเป็นแฟนบอลของเรอัล มาดริดและได้มาเยือนสนามแห่งนี้ก็คือ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในใจกลางสนามแห่งนี้ก็คือร้านที่ชื่อว่า “เรอัล คาเฟ่ เบอร์นาเบว” นั่นเอง

เรอัล คาเฟ่ เบอร์นาเบว เป็นสถานที่ที่ทางสโมสรจัดทำไว้เพื่อรองรับแฟนบอลที่มาเยือนสนามแห่งนี้ เพื่อเข้าเยี่ยมชมบรรยากาศภายในสนามที่ยิ่งใหญ่ของทีม และรับประทานอาหารหรือดื่มอะไรเย็น ๆ ไปพร้อม ๆ กัน โดยภายในร้านอาหารแห่งนี้จะมีอาหารหลายอย่างไว้บริการ โดยสามารถมองทะลุกระจกออกไปเห็นบรรยากาศภายในสนามอีกด้วย ซึ่งหากคุณคือสาวกของทีมราชันชุดขาวแล้วละก็ ภาพบรรยากาศภายในร้านที่ทางสโมสรจัดไว้ให้นี้จะประทับใจคุณอย่างแน่นอน ส่วนอาหารที่มีไว้บริการแขกวีไอพีนั้นก็จะเป็นอาหารง่าย ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉลี่ยแล้วก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว แต่ก็มีบ้างที่ผู้เข้าไปใช้บริการจะบ่นว่าไม่คุ้มกับราคาที่จ่ายไป (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 30 ยูโรหรือประมาณหนึ่งพันบาท) แต่ก็อย่างว่านั่นแหละถ้าหากคุณเป็นสาวกราชันชุดขาว และเดินทางไปเยือนถึงซานติอาโก เบอร์นาเบวแล้ว ค่าใช้จ่ายประมาณนี้ก็นับว่าคุ้มค่ากับการบรรยากาศที่มองทะลุออกไปเห็นสนามของทีมรักของคุณ

ร้านอาหารภายในสนามแห่งนี้จะมีไว้รองรับแฟนบอลทั้งในรูปแบบของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมสนาม รวมไปถึงเป็นที่นั่งวีไอพีในวันที่มีการแข่งขัน หรือที่เรียกว่า “แมทช์ เดย์” อีกด้วย ซึ่งการได้นั่งบนที่นั่งพิเศษพร้อมอาหารและเครื่องดื่ม ก็จะเพิ่มอรรถรถในการชมเกมของทีมราชันให้มากขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน ราวกับคุณเป็นแขกพิเศษของราชาชุดขาวแห่งกรุงมาดริดเลยก็ว่าได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ส่วนนี้มีค่อนข้างจำกัด ทำให้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับชมบรรยากาศแบบนี้ได้

ปัจจุบันในขณะที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ทางสโมสรเลือกไปใช้บริการสนามอัลเฟรโด ดิ สเตฟานโน่ ของทีมสำรองที่มีความจุน้อยกว่าแทน ในช่วงที่มีการกลับมาแข่งใหม่แบบไม่มีแฟนบอลเข้าชมในสนาม เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขัน โดยทางสโมสรถือโอกาสนี้ปรับปรุงและพัฒนาซานติอาโก เบอร์นาเบวไปด้วยในตัว โดยมีข่าวมาว่าเตรียมจะทุ่มงบพัฒนาสนามครั้งใหญ่ถึง 500 ล้านยูโรเลยทีเดียว และแน่นอนว่า “เรอัล คาเฟ่ เบอร์นาเบว” คงจะได้รับการพัฒนาและปรับปรุงไปด้วย ซึ่งหากดูจากศักยภาพของสโมสรแห่งนี้แล้ว เชื่อว่าสถานที่ต้อนรับคนพิเศษของราชันชุดข่าวแห่งนี้ จะต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์แฟนบอลอีกอย่างแน่นอน