บาร์ เดส์ แฟมิเลส์ ศูนย์รวมของแฟนปารีส แซงต์ แชร์กแมง

มหานครปารีสประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นหนึ่งในสถานที่แห่งความศิวิไลซ์ของโลก เพราะมหานครแห่งนี้คือศูนย์รวมทั้งในด้านสถาปัตยกรรม แฟชั่นความสวยความงามรวมไปถึงน้ำหอมที่โด่งดังไปทั่วโลก ทำให้ปารีสเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก และสิ่งหนึ่งที่มหานครแห่งนี้โด่งดังไม่แพ้ที่อื่น ๆ ก็คือในเรื่องของฟุตบอล เพราะที่ปารีสนั้นเป็นที่ตั้งของสนามปาร์ค เดส์ แพรงส์ รังเหย้าของทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง อีกหนึ่งทีมที่ใหญ่ไม่แพ้ใครในโลกของฟุตบอลนั่นเอง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้สโมสรแห่งนี้ได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาล เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของทวีปยุโรป ทำให้ทีมของพวกเขาเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลกเต็มไปหมดทั้งเนย์มา, อังเคล ดิ มาเรีย, คิเลียน เอ็มบั๊ปเป้ และอื่น ๆ อีกหลายคน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีผู้เล่นชื่อดังมากมายอยู่ในทีมสิ่งที่จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวก็คือฐานแฟนบอลนั่นเอง จึงกลายเป็นว่าผู้คนที่หลั่งไหลมายังมหานครแห่งนี้นอกจากมาเพื่อชื่นชมศิลปะความงาน และหอไอเฟลแล้วอีกเป้าหมายสำคัญก็คือการเดินทางมาเพื่อชมฟุตบอลและฝีเท้าของผู้เล่นระดับโลกเหล่านี้

และถ้าหากคุณคือแฟนบอลของปารีส แซงต์ แชร์กแมงชนิดเข้าเส้น และเดินทางมาจนถึงกรุงปารีส แล้วไม่สามารถหาตั๋วเข้าไปชมเกมยังสนามปาร์ก เดส์ แพรงส์ได้ล่ะจะทำอย่างไรดี ถ้าหากคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้วละก็ สถานที่ซึ่งคุณกำลังตามหาอยู่ก็คือ บาร์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “บาร์ เดส์ แฟมิเลส์” ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสนามออกไปราว 10 กิโลเมตร  ว่ากันว่าในวันที่มีการแข่งขันของทีมแฟนบอลพันธุ์แท้และฮาร์ดคอร์ของเปเอสเชครึ่งหนึ่งอยู่ในสนามปาร์ค เดส์ แพรงส์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะมารวมตัวกันที่บาร์แห่งนี้แหละ เพื่อเชียร์ทีมรักของพวกเขาผ่านทางการถ่ายทอดสดพร้อมกับซดน้ำเมาประกอบการชมไปด้วย ดังนั้นหากคุณต้องการบรรยากาศการเชียร์และมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่แท้จริงแล้วละก็ รับรองว่าที่นี่ก็มีความมันไม่แพ้ในสนามเลยทีเดียว

ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากที่ไหนในโลก และถึงแม้ว่าบาร์ เดส์ แฟมิเลส์จะเต็มไปด้วยแฟนบอลสายฮาร์ดคอร์ แต่ถ้าหากคุณเป็นแฟนปารีส แซงต์ แชร์กแมงเช่นเดียวกับพวกเขาแล้วก็ย่อมจะไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะฟุตบอลมักจะมีมนต์เสน่ห์แปลก ๆ ในตัวของมันเองเสมอ นั่นคือถ้าหากคนสองคนคุยกันถึงเรื่องของฟุตบอล ด้วยภาษาฟุตบอลแบบเดียวกัน(เชียร์ทีมเดียวกัน) แล้วละก็แม้ว่าจะพึ่งรู้จักกันก็จะสามารถสร้างมิตรภาพใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเสมอ เพราะฉะนั้นหากคุณคือแฟนบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมงคนหนึ่ง และไม่สามารถเข้าชมในสนามได้แล้วละก็ ตรงไปที่นี่ได้เลยรับรองว่าไม่ผิดหวัง

กีฬาแห่งสุภาพบุรุษ อัดกันให้สุดแล้วไปหยุดที่มิตรภาพและเบียร์

รักบี้ฟุตบอลเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่จะต้องปะทะกันอย่างหนักหน่วงตลอดทั้งเกม เพราะฉะนั้นผู้เล่นจะต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษค่อนข้างสูง ทั้งการเคารพต่อคู่แข่ง กฎกติกามารยาทและการรู้แพ้รู้จักการให้อภัย มิเช่นย่อมจะต้องเกิดการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง และการเล่นนอกเกมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทำให้กีฬาชนิดนี้ถูกขนานนามว่าเป็นกีฬาแห่ง “สุภาพบุรุษ” นั่นเอง

สำหรับกีฬารักบี้นั้นถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้รับความนิยมมากมายเท่าไรนัก ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกรวมไปถึงประเทศไทยของเรา โดยประเทศที่นิยมเล่นกีฬาชนิดนี้ส่วนมากจะเป็นในกลุ่มสหราชอาณาจักร และประเทศที่วัฒนธรรมของพวกเขาส่งไปถึงซะมากกว่า โดยที่พวกเขาจะเรียกดินแดนที่นิยมกีฬาชนิดนี้ว่า “ฮาร์ทแลนด์” นั่นเอง ซึ่งก็จะมีกลุ่มประเทศในสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, แอฟริกาใต้, อาร์เจนติน่า, และนิวซีแลนด์เป็นต้น

แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่ากีฬารักบี้ฟุตบอลกำลังจะได้รับความนิยมเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น หลังจากการจัดรายการรักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการเผยการแข่งขัน จนทำให้พบว่ามีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจ เกินกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะได้เห็นรักบี้ฟุตบอลเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ได้รับความนิยมจากแฟนกีฬาทั่วโลก สาเหตุที่รักบี้สามารถเข้าไปครองใจแฟนกีฬาได้นั้นเป็นเพราะรักบี้เป็นกีฬาที่มีความสนุกตื่นเต้นไม่แพ้การแข่งขันชนิดอื่นเลย ทั้งความเร็วความแข็งแกร่งและการพลิกแพลงในเกม ทำให้การแข่งขันสนุกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากมีการเผยแพร่ให้แฟนกีฬาได้รู้จักกฎกติกาการเล่นมากขึ้นกว่านี้  เชื่อว่าน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของแฟนกีฬาได้อย่างไม่ยากเย็นอย่างแน่นอน

อีกหนึ่งเสน่ห์ของกีฬาลูกผู้ชายชนิดนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น วัฒนธรรมแห่งมิตรภาพที่น่ารักนั่นเอง คือการแข่งขันรักบี้นั้นเมื่อเกมจบลงไม่ว่าจะด้วยผลการแข่งขันเช่นไร หรือว่าอัดกันรุนแรงเพียงใดทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงภายในสนามเสมอ ไม่เอามาคิดติดใจหรือโกรธเคืองใด ๆ ต่อกันและจะสานสายสัมพันธ์กระชับมิตรกันด้วยเบียร์เสมอ ไม่เพียงแต่แฟนข้างสนามเท่านั้นที่ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งมิตรภาพด้วยเบียร์ แต่เป็นธรรมเนียมของการแข่งขันเลยว่าทีมที่พ่ายแพ้จะต้องไปแสดงความยินดีกับผู้ชนะด้วยเบียร์อีกด้วย อย่างเช่นการแข่งขันชิงแชมป์โลกที่ผ่านมาถึงแม้ว่าทีมชาติอังกฤษจะแพ้ให้กับแอฟริกาใต้ไปในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย แต่หลังเกมนั้น “เจ้าชายแฮร์รี่” ดยุ๊คแห่งซัสเซ็กซ์ ได้เสด็จเป็นตัวแทนทีมชาติอังกฤษเพื่อทรงแสดงความยินดีกับทีมคู่ต่อสู้ด้วยพระองค์เอง นับว่าเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่สวยงามมากในวงการกีฬา

หลายครั้งเรามักจะเห็นความแตกแยกทะเลาะวิวาท ที่เกิดจากเกมกีฬาและเบียร์ แต่วัฒนธรรมนี้ในกีฬารักบี้ฟุตบอลได้ทำให้เราเห็นแล้วว่า ถ้าหากคุณมีน้ำใจนักกีฬามากพอสิ่งนั้นแหละจะนำมาซึ่งมิตรภาพในเกมกีฬา โดยมีเบียร์เป็นตัวเชื่อมประสานความสัมพันธ์ได้ลงตัว

ลัดเลาะรอบโอลด์ แทรฟฟอร์ด โรงละครแห่งความฝันของสาวกปีศาจแดง

โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นสนามเหย้าของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศอังกฤษที่มีแฟนบอลมากกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ที่นี่จึงเปรียบเสมือนเป็นจุดหมายปลายทางของสาวกปีศาจแดงทั่วโลกที่ต้องการมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง ทำให้แฟนคลับนับล้านคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเดินทางมายังสนามแห่งนี้ตลอดทั้งปี และด้วยมนต์ขลังของสโมสรอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับ 100 ปี ทำให้เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน อดีตนักเตะระดับตำนานของสโมสรให้สมญานามสถานที่แห่งนี้ว่า “โรงละครแห่งความฝัน”

โอลด์ แทรฟฟอร์ด เริ่มใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1910 ด้วยความจุสนามสูงถึง 80,000 ที่นั่ง ซึ่งสมัยนั้นแฟนบอลยังนิยมการยืนเชียร์ในสนาม ต่อมาในปี 1941 สนามได้รับความเสียหายจากระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนต้องได้รับการบูรณะสนามขึ้นใหม่และเปิดใช้งานอีกครั้งในปี 1949 หลังจากนั้นสนามก็ได้รับการปรับปรุงอีกหลายครั้งจนกลายเป็นหนึ่งในสนามที่ทันสมัยที่สุดของวงการฟุตบอล ในปัจจุบันโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ได้เป็นเพียงแค่สนามฟุตบอลที่รองรับแฟนบอลซึ่งเดินทางมาชมเกมการแข่งขันในวันที่ทีมลงสนามเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสถานที่ที่พร้อมให้แฟนบอลได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับสโมสรในวันที่ไม่มีการแข่งขันได้ตลอดทั้งวัน

เริ่มต้นกันด้วยการทัวร์สนามที่ Museum & Tour Centre บริเวณทิศเหนือของสนาม โดยไม่ลืมเก็บภาพรูปปั้นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมที่พายูไนเต็ดคว้าแชมป์มากมาย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้า และหากใครหิวยังสามารถแวะรับประทานอาหารที่ Red Café ก่อนเริ่มทัวร์ได้ ในการทัวร์สนามนั้นไกด์จะพาชมทั่วทุกมุมของอัฒจันทร์แต่ละฝั่งสลับกับการเยี่ยมชมห้องแต่งตัวของนักเตะและห้องแถลงข่าว ก่อนจะพาลงสู่สนามทางอุโมงค์เช่นเดียวกับเวลานักฟุตบอลลงทำการแข่งขัน และพาไปชมซุ้มม้านั่งฝั่งเจ้าบ้านอย่างใกล้ชิด ต่อจากนั้นจะให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสโมสร ไม่ว่าจะเป็นถ้วยรางวัล, ชุดที่นักเตะใส่แข่งขัน รวมไปถึงประวัตินักเตะระดับตำนานจนถึงปัจจุบัน

เมื่อออกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ให้เดินออกมายังทิศตะวันออกของสนามเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ “The United Trinity” รูปปั้นตำนานนักเตะประจำสโมสรทั้ง 3 คน ได้แก่ จอร์จ เบสต์, เดนนิส ลอว์ และบ็อบบี้ ชาร์ลตัน ที่ตั้งหันหน้าเข้าหาสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ก่อนจะหันมาเก็บภาพสนามในมุมกว้างโดยมีรูปปั้นเซอร์แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมที่พาปีศาจแดงครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษและทวีปยุโรปตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทางเข้า Megastore ร้านขายของที่ระลึกประจำสโมสรซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป หลังจากเลือกช้อปปิ้งอย่างจุใจ แล้วให้เดินมายังด้านข้างของอัฒจันทร์ฝั่งตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์ความทรงจำโศกนาฏกรรมที่มิวนิค เพื่อระลึกถึงนักเตะและเจ้าหน้าที่ของสโมสรที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 1958 เป็นการส่งท้ายทริป

และหากต้องการค้างคืนที่เมืองแมนเชสเตอร์ แนะนำให้เลือกพักที่ “โฮเทล ฟุตบอล” โรงแรมระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด เพราะนอกจากจะได้ชมโรงละครแห่งความฝันในมุมสูงแล้ว ยังอาจได้พบกับอดีตนักเตะดาวดังอย่าง ไรอัน กิ๊กซ์, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์ หรือนิกกี้ บัตต์  ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมร่วมกันก็เป็นได้

“เวมบลีย์ สเตเดียม” สนามแห่งจิตวิญญาณของชาวอังกฤษ

ประเทศอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของกีฬาฟุตบอล แถมฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอย่างพรีเมียร์ลีก ยังถือเป็นลีกที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย ชาวอังกฤษล้วนผูกพันกับโลกลูกหนังมาตั้งแต่เด็ก ทั้งฟุตบอลระดับสโมสรและทีมชาติ โดยสนามฟุตบอลที่ชาวอังกฤษทั้งประเทศผูกพันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “เวมบลีย์ สเตเดียม” ซึ่งถูกใช้เป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษนั้นเอง

สนามเวมบลีย์ ตั้งอยู่ในเวมบลีย์ปาร์ก กรุงลอนดอน เริ่มก่อสร้างในปี 1922 โดยแล้วเสร็จและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เมษายน 1923 ซึ่งเป็นเกมการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างโบลตัน วันเดอเรอร์ส กับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสนามแห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสนามแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ซึ่งเป็นฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน จนมีข้อความว่า “Road to Wembley” เป็นสโลแกนประจำการแข่งขัน นอกจากนั้นเวมบลีย์ยังถูกใช้เป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษ และฟุตบอลลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศ รวมไปถึงถูกเลือกให้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก (ยูโรเปี้ยน คัพ) นัดชิงชนะเลิศ, ฟุตบอลโลก 1966 นัดชิงชนะเลิศ, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปยุโรป “ยูโร 96” รวมไปถึงฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 1948 และ 2012 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพด้วย

เวมบลีย์ได้รับการรีโนเวทในปี 1963 เพื่อใช้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1966 ซึ่งครั้งนั้นทีมชาติอังกฤษสามารถเอาชนะทีมชาติเยอรมันตะวันตกไปได้ในช่วงต่อเวลา ครองแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวมาจนถึงปัจจุบัน จนกระทั้งในปี 2000 สนามเวมบลีย์ถูกปิดใช้งานเพื่อก่อสร้างสนามใหม่ด้วยทุนการก่อสร้างกว่า 790 ล้านปอนด์ ก่อนจะกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2007 โดยสนามใหม่นี้มีความจุผู้ชมถึง 90,000 ที่นั่ง ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป นอกจากนั้นยังได้เปลี่ยนสัญลักษณ์ประจำสนามจากหอคอยคู่ มาเป็นเสาโค้งรูปครึ่งวงกลมแทน และมีการตั้งอนุสาวรีย์บ็อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก ไว้ที่หน้าทางเข้าสนามอีกด้วย

นอกจากจะถูกใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลแล้ว เวมบลีย์ยังถูกใช้จัดการแข่งขันกีฬาประเภทอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นรักบี้ ลีก, รักบี้ ยูเนี่ยน, อเมริกันฟุตบอล และมวยสากล รวมไปถึงการจัดคอนเสิร์ตระดับโลก ซึ่งศิลปินระดับตำนานอย่าง Michael Jackson, Queen, Paul McCartney, Elton John, U2, Madonna, Oasis, Bon Jovi และ Aerosmith ล้วนผ่านเวทีเวมบลีย์มาแล้วทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ BTS บอยแบนด์ชื่อดังจากประเทศเกาหลี ก็เคยขึ้นแสดงที่นี่เมื่อปี 2019 นับเป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่ได้จัดการแสดงกลางกรุงลอนดอน

สนามเวมบลีย์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสนามได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.00 น. เว้นวันหยุดช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ โดยผู้เข้าชมจะได้สำรวจทุกซอกทุกมุมของสนาม เข้าชมห้องแต่งตัวนักเตะ, ห้องแถลงข่าว, อุโมงค์ปล่อยตัวนักเตะ และที่นั่งข้างสนาม รวมไปถึงประวัติศาสตร์ทั้งหมดเกี่ยวกับสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษ

“คัมป์ นู” สนามฟุตบอลสุดยิ่งใหญ่ของยุโรป

หากมีการจัดอันดับสนามฟุตบอลที่แฟนบอลอยากไปเยือนสักครั้ง ต้องมีชื่อของ “คัมป์ นู” ติดโผอยู่ในลำดับต้น ๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากนี่คือสนามเหย้าของบาร์เซโลน่า สโมสรฟุตบอลระดับแนวหน้าของโลกจากประเทศสเปน แถมสนามแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นสนามฟุตบอลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปอีกด้วย

คัมป์ นู (Camp Nou) ตั้งอยู่ในเมืองบาร์เซโลน่า แคว้นคาตาลัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน สนามแห่งนี้ได้รับฉายาว่า “อ่างชามยักษ์” จากการเป็นสนามฟุตบอลที่มีความจุผู้ชมถึง 99,354 ที่นั่ง ซึ่งหากแข่งขันในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกจะถูกลดลงเหลือ 96,636 ที่นั่ง ตามกฎมาตรการรักษาความปลอดภัยของยูฟ่า แม้จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่เมื่อมองจากภายนอกกลับดูไม่ใหญ่มากนัก นั้นเป็นเพราะพื้นที่ส่วนล่างของสนามอยู่ลึกลงไปใต้ดิน โดยก่อนหน้านี้สโมสรตั้งใจใช้ชื่อสนามอย่างเป็นทางการว่า “เอสตาดิ เดล เอฟซี บาร์เซโลน่า” แต่เนื่องจากแฟนบอลและผู้สื่อข่าวนิยมเรียกสนามแห่งนี้ว่า คัมป์ นู มากกว่า ชื่อนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อสนามอย่างเป็นทางการในที่สุด โดยคำว่า คัมป์ นู เป็นภาษาคาตาลัน แปลว่า “สนามแห่งใหม่” เนื่องจากเป็นสนามที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดแทนสนามเดิมของสโมสรบาร์เซโลน่า

ในยุคก่อตั้งสโมสรบาร์เซโลน่าใช้สนามคัมป์ เด ลา อินดุสเตรีย (Camp de la Indústria) เป็นสนามประจำทีม ซึ่งเป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ที่หลายชนิดกีฬาใช้พื้นที่ร่วมกัน มีความจุประมาณ 10,000 ที่นั่ง ก่อนจะสร้างสนามของตัวเองในชื่อ คัมป์ เด เลส คอร์ทส (Camp de Les Corts) ที่มีความจุ 20,000 ที่นั่ง ตามจำนวนแฟนบอลที่ติดตามเชียร์ในสนามมากขึ้น หลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมือง แฟนบอลสเปนแต่ทีมล้วนมีฐานแฟนคลับเพิ่มขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทีมประจำแคว้นคาตาลัน ทำให้บาร์เซโลน่าตัดสินใจปรับปรุงสนามของตัวเองจนมีความจุ 60,000 ที่นั่ง จนกระทั้งในปี 1954 สโมสรต้องการขยายสนามเพื่อรองรับแฟนบอล แต่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีพื้นที่เพียงพอในการขยับขยาย จึงเป็นที่มาของการสร้างสนามคัมป์ นู ในที่สุด

สนามคัมป์ นู เริ่มก่อสร้างในปี 1954 ด้วยงบประมาณ 288 ล้านเปเซตา มีผู้ว่าเฟลีเป อาเซโด โกลังกา เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก้อนแรก ประกอบพิธีโดยเกรโกเรียว โมเดรโก อาร์ชบิชอปแห่งบาร์เซโลนา และเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 1957 ก่อนจะทำการออกแบบสนามใหม่ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของยูฟ่าในปี 1980 โดยครั้งนั้นสโมสรเปิดโอกาสให้แฟนได้มีส่วนร่วมกับการปรับปรุงสนามด้วยการเปิดบริจาคเงินจากแฟนบอลแลกกับมีชื่อสลักบนหิน ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินบริจาคจำนวนมาก ยังทำให้แฟนบอลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสนามอย่างเป็นรูปธรรม

คัมป์ นู ไม่เพียงถูกใช้เป็นสนามเหย้าของบาร์เซโลน่าเท่านั้น สนามแห่งนี้ยังถูกรับเลือกให้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 1982 รอบแบ่งกลุ่ม และรอบรองชนะเลิศ, คัพ วินเนอร์ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1972, ยูโรเปี้ยน คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1989 รวมไปถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ปี 1999

แม้จะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่แล้ว แต่คัมป์ นู ก็ยังมีแผนขยายความจุของสนามเพิ่มขึ้นเป็น 105,000 ที่นั่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2023 นี้อีกด้วย ถือเป็นอีกก้าวของสนามแห่งนี้ในการเข้าใกล้สนามที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Rungrado May Day Stadium ของประเทศเกาหลีเหนือ ที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 150,000 คน

แก้วเบียร์ กับการพัฒนาวงการฟุตบอล

การดื่มเบียร์เป็นกิจกรรมที่อยู่คู่กับแฟนบอลมาช้านาน ผู้ผลิตเบียร์หลากหลายแบรนด์จึงเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มที่ข้างสนาม ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการใด ภาพแฟนบอลกับเบียร์จึงกลายเป็นสิ่งที่คุ้นตาในทุกสนามแข่ง ซึ่งเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลังเกมการแข่งขันนั้นคือขยะที่เกิดจากภาชนะใส่เบียร์จำนวนมากจนเป็นภาระใหญ่ให้กับผู้จัดการแข่งขัน แต่สำหรับทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลกอย่าง World Cup 2018 ที่ประเทศรัสเซียเป็นเจ้าภาพ ได้เปลี่ยนขยะไร้ค่าเหล่านั้นให้กลายมาเป็นสิ่งที่กลับมาสร้างประโยชน์ให้แก่วงการฟุตบอลได้อีกครั้ง

World Cup 2018 ที่ผ่านพ้นไปมีทีมชาติเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 32 ประเทศ คาดการณ์ว่าได้มีแฟนบอลและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปยังประเทศรัสเซียไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน และด้วยวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ที่ติดตัวบรรดาสาวกลูกหนัง ทำให้ “บัดไวเซอร์” ผู้ผลิตเบียร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ร่วมเป็นหนึ่งในสปอนเซอร์ของการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ สามารถจำหน่ายเบียร์ให้กับแฟนบอลได้มากกว่า 3.2 ล้านแก้ว โดยหลังจบทัวร์นาเมนต์ผู้จัดจำหน่ายเบียร์ได้มีแนวคิดที่ต้องการให้แก้วเบียร์พลาสติกเหลือทิ้งเหล่านั้นถูกนำกลับมาใช้เพื่อประโยชน์แก่วงการฟุตบอลแทนที่จะนำไปใช้อย่างอื่น นั้นจึงทำให้เกิด “บัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า” (Budweiser Recup Arena) สนามฟุตบอลหญ้าเทียมจากพลาสติกรีไซเคิลที่มีขนาดพื้นที่รวมทั้งสิ้น 65×42 ตารางเมตร รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างในสนาม ที่ได้รับการยืนยันว่ามีความทนทานสูง

บัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า ตั้งอยู่ที่มีเมืองโซชี ทางด้านข้างของสนามฟิชต์ โอลิมปิก ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่มีของใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรัสเซีย และได้ถูกใช้ในการการแข่งขัน World Cup 2018 ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยพื้นหญ้าเทียมสีขาวตัดกับเส้นสนามสีแดงของสนามบัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า นั้นถูกผลิตขึ้นจากพลาสติกรีไซเคิลกว่า 2.5 ล้านตัน ซึ่งได้มาจากแก้วเบียร์พลาสติกชื่อ “บัดไวเซอร์ เรด ไลท์ คัพส์” (Budweiser Red Light Cups) ที่ทางผู้จำหน่ายเก็บรวบรวมจากข้างสนามแข่งทุกแห่งกว่า 50,000 ใบ ทั้งนี้แก้วเบียร์ดังกล่าวเป็นพลาสติกประเภท PT ชนิดเดียวกับที่นำมาใช้ในการผลิตหญ้าเทียมอยู่แล้ว

ปัจจุบันบัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า ได้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2019 ภายใต้คอนเซ็ปต์ The World Cup RePlay โดยสนามแห่งนี้จะถูกนำมาใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมให้กับสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นของเมืองโซชี ซึ่งในงานเปิดตัวดังกล่าวได้มีอดีตนักเตะชื่อดังระดับโลกอย่างมาร์โก้ มาเตรัซซี่ และซีเนอดีน ซีดาน เดินทางมาร่วมงานด้วย โดยอดีตกองหลังทีมชาติอิตาลีได้กล่าวชื่นชมแนวความคิดนี้ และหวังว่าจะเป็นการจุดประกายให้มีการสร้างสนามฟุตบอลรีไซเคิลเช่นนี้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต นอกจากนั้นทางผู้บริหารของเอบี อินเบฟ (AB InBev) บริษัทแม่ของบัดไวเซอร์ ยังหวังให้สนามแห่งนี้กลายเป็นความทรงจำที่คอยย้ำเตือนถึงฟุตบอลโลกที่ผ่านไป และเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอล

ศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย

คงไม่มีสนามกีฬาภายในประเทศแห่งใดจะผูกพันกับคนไทยมากไปกว่า “สนามศุภชลาศัย” ซึ่งมีฐานะเป็นสนามกีฬาแห่งชาติของประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 80 ปี โดยสนามแห่งนี้นับเป็นสนามกีฬามาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

สนามศุภชลาศัย ตั้งอยู่กลางทุ่งปทุมวัน ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของวังวินเซอร์ วังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ สร้างพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2480 และเปิดใช้งานครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2481 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขัน แต่เดิมใช้ชื่อว่า “สนามกรีฑาสถาน” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ” เมื่อปี พ.ศ. 2484 เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก และเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างสนามกีฬาแห่งนี้

สนามศุภชลาศัย เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่มีอัฒจันทร์ล้อมรอบ ประกอบด้วยสนามฟุตบอลพื้นหญ้าขนาดมาตรฐาน พร้อมลู่วิ่งรอบนอก ปัจจุบันมีความจุผู้ชมจำนวน 35,000 ที่นั่ง โดยครั้งหนึ่งสนามแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสนามเหย้าของฟุตบอลทีมชาติไทยในการต้อนรับการมาเยือนของทีมฟุตบอลระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทีมชาติโรมาเนีย, ทีมชาติฟินแลนด์ หรือแม้แต่ทีมสโมสรชื่อดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเอ.ซี. มิลาน ก่อนที่ทีมชาติไทยจะย้ายไปใช้สนามราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้าแทนในเวลาต่อมา

สนามศุภชลาศัย ได้มีโอกาสจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬาซีเกมส์, การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์, การแข่งขันฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ, การแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก รอบคัดเลือกโซนเอเชีย, การแข่งขันฟุตบอลในกีฬามหาวิทยาลัยโลก และการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ นอกจากนั้นยังใช้เป็นสังเวียนแข้งของฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์, ฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคี รวมไปถึงนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลไทยเอฟเอคัพ และไทยลีกคัพอีกด้วย

นอกจากจะใช้จัดการแข่งขันกีฬาแล้ว สนามศุภชลาศัยยังเคยถูกใช้จัดกิจกรรมอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตไมเคิล แจ็คสัน แดนเจอรัส เวิลด์ ทัวร์ ของราชาเพลงป๊อปผู้ล่วงลับ เมื่อปี พ.ศ. 2536, พิธีทบทวนคำปฏิญาณตนและสวนสนามของลูกเสือและเนตรนารี เนื่องในโอกาสคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 กรกฎาคมของทุกปี, งานฉลองปีใหม่ โดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) รวมไปถึงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีบูชามหามิสซาถึง 2 ครั้ง เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2527 และเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2562

แม้ในปัจจุบันบทบาทของสนามศุภชลาศัยจะถูกส่งต่อไปให้สนามราชมังคลากีฬาสถานรับหน้าที่แทน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญระดับชาติ หรือการจัดคอนเสิร์ตทั้งจากศิลปินไทยและต่างประเทศ แต่ความทรงจำทางประวัติศาสตร์มากมายก็จะยังคงสถิตคู่สนามแห่งนี้ตลอดไป

Oktoberfest เทศกาลเบียร์ระดับโลกสำหรับคอเบียร์โดยเฉพาะ

หากพูดถึงเบียร์รสเลิศ นักดื่มเบียร์คงไม่ลังเลที่จะยกตำแหน่งให้กับเบียร์ที่ผลิตจากถิ่นต้นกำเนิดอย่างประเทศเยอรมนีแน่นอน และถ้าถามถึงเทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คงไม่มีงานไหนยิ่งใหญ่ไปกว่า Oktoberfest ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีระหว่างสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนไปจนถึงวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เป็นเวลา 16-18 วัน ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 6 ล้านคน และจำหน่ายเบียร์มากกว่า 8 ล้านแก้วในแต่ละปี

เทศกาล Oktoberfest จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1810 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพิธีอภิเษกสมรสของสยามมงกุฎราชกุมารลุดวิก แห่งบาวาเรีย ซึ่งในภายหลังได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ลุดวิก โดยเชื้อเชิญชาวเมืองมิวนิคมาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นบริเวณประตูเมือง นอกจากนั้นยังจัดให้มีการแข่งม้าของเหล่าบรรดาราชวงศ์ด้วย หลังจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอันน่าประทับใจผ่านไป เจ้าชายลุควิกจึงรับสั่งให้จัดงานขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยในปีต่อมาได้เพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการเกษตรของแคว้นบาวาเรียเข้ามาด้วย จนกระทั้งในปี ค.ศ. 1896 เทศกาลก็เต็มไปด้วยเต็นท์เบียร์จากโรงผลิตเบียร์ทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ภายในงานนอกจากจะเนืองแน่นไปด้วยเต็นท์จำหน่ายเบียร์ชั้นยอดแล้ว จุดเด่นสำคัญของเทศกาล Oktoberfest คือ เบียร์ที่จำหน่ายภายในเทศกาลจะผลิตขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะเทศกาลนี้เท่านั้น โดยเป็นเบียร์ที่คงความบริสุทธิ์ไว้ ไม่มีสิ่งใดเจือปนนอกจาก Malt Hops ตามกฎ Reinheitsgebot ของแคว้นบาวาเรีย รวมถึงภายใต้ข้อกำหนดของเมืองมิวนิค ซึ่งจะมีการตรวจสอบและคัดเลือกเบียร์อย่างเข้มงวด โดยความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเบียร์ทุกแก้วที่เสิร์ฟต้องไม่ต่ำกว่า 13.5% Stammwürze หรือเทียบเท่ากับแอลกอฮอล์ 6% ซึ่งแอลกอฮอล์ในเบียร์ที่เราคุ้นเคยจะอยู่ที่ประมาณ 3-5% ทำให้เบียร์ในงานจะแรงกว่าปกติ นักดื่มจึงควรเตรียมตัวรับมือให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเสียอาการโดยไม่ทันตั้งตัวได้

นอกจากจะได้ดื่มด่ำไปกับเบียร์หลากหลายแบรนด์ เคียงด้วยอาหารหลากหลายชนิด ทั้งไก่ย่างเนย, ไส้กรอกเยอรมัน, ขาหมูเยอรมัน และเพรทเซลโรยเกลือแล้ว ภายในเทศกาลบนเนื้อที่ขนาด 42 เฮคเตอร์ยังมีกิจกรรมมากมายเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นขบวนพาเหรดสุดยิ่งใหญ่อลังการที่ให้ผู้ร่วมขบวนกว่า 1,000 ชีวิตแต่งกายด้วยชุดโบราณและเต้นรำอย่างสนุกสนาน, เวทีคอนเสิร์ตกลางแจ้ง บริเวณรูปปั้นบาวาเรีย ซึ่งมีวงดนตรีกว่า 400 วงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นแสดงให้ผู้ร่วมงานเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีตลอดทั้งงาน รวมไปถึงการเนรมิตลานกว้างให้กลายเป็นสวนสนุกขนาดย่อม โดยขนเครื่องเล่นยอดนิยมอย่างม้าหมุนลอยฟ้า และชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ มาให้บริการทั้งวันทั้งคืน เพื่อสัมผัสบรรยากาศแสนโรแมนติกจากแสงไฟยามค่ำคืน

หากคุณเป็นคอเบียร์ตัวจริง คุณต้องไม่พลาดการสัมผัสบรรยากาศของเทศกาล Oktoberfest สักครั้งในชีวิต เพราะนี่คือแดนสวรรค์ของสาวกน้ำอัมพันอย่างแท้จริง

“อูริโกะ” นางฟ้าเสิร์ฟเบียร์ประจำสนามกีฬา

คงจะดีไม่น้อยหากระหว่างส่งเสียงเชียร์ทีมโปรดในสนามกีฬาจนเสียงแหบเสียงแห้ง จะถูกชดเชยด้วยเบียร์เย็น ๆ สักแก้ว จนสามารถตะโกนเชียร์ทีมรักได้จนจบเกมการแข่งขัน ยิ่งเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่คอยส่งเสียงถามว่า “รับเบียร์เย็น ๆ สักแก้วไหมค่ะ?” ก็ช่วยทำให้การชมเกมกีฬามีสีสันขึ้นมาไม่น้อย ซึ่งนี่เองคือหน้าที่ของ “อูริโกะ” (Uriko) สาวขายเบียร์ประจำสนามกีฬาในประเทศญี่ปุ่นนั้นเอง

แม้ในหลายประเทศจะไม่อนุญาตให้ผู้ชมนำเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาภายในสนามกีฬา แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมการกินเบียร์อย่างเสรี การจำหน่ายเบียร์ในสนามกีฬาจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร โดยอาชีพอูริโกะนั้นมีมานานหลายทศวรรษแล้วด้วย

อูริโกะ มีที่มาจากคำภาษาญี่ปุ่นว่า “Biiru no Uriko” ซึ่งแปลได้ว่า “รับเบียร์สักแก้วไหมคะ?” วิธีสังเกตสาวอูริโกะ คือ พวกเธอมักจะสวมกางเกงขาสั้นหรือไม่ก็กระกระโปรงสั้น และเสื้อแข่งขันของสโมสรเจ้าบ้านหรือไม่ก็เสื้อสีสันสดใสพร้อมโลโก้ยี่ห้อเบียร์ โดยสาวอูริโกะแต่ละคนจะสะพายกระเป๋าบรรจุถังเบียร์น้ำหนัก 17 กิโลกรัมไว้ด้านหลัง กระจายตัวอยู่บนอัฒจันทร์ทั่วทั้งสนาม ซึ่งจะคอยส่งเสียงเชิญชวนเหล่าแฟนกีฬาให้ลิ้มลองเบียร์สดในระหว่างรับชมเกมการแข่งขันด้วยรอยยิ้มแสนน่ารัก

สาวอูริโกะส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ที่มีอายุตั้งแต่ 16-24 ปี ซึ่งแต่ละคนต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครนับ 100 คน แม้ผู้ถูกคัดเลือกจะมีหน้าตาดี แต่คุณสมบัติที่สำคัญสำหรับอาชีพนี้กลับอยู่ที่ความแข็งแกร่งของร่างกาย เพราะนอกจากจะต้องแบกถังเบียร์หนัก 17 กิโลกรัมแล้ว พวกเธอยังต้องคอยเดินเสิร์ฟเบียร์สดจากก๊อกให้กับแฟนกีฬาถึงที่นั่งตลอดทั้งเกม แถมยังต้องคอยเดินเติมเบียร์ที่จุดกำหนดเมื่อขายเบียร์จนหมดถังอีกด้วย ทำให้อูริโกะบางคนถึงกับน้ำหนักลดลง 4 กิโลกรัมภายในวันเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าสาวนักเสิร์ฟยังต้องแข่งกับเวลาในการขายด้วย ยิ่งขายได้เร็วก็จะได้ยอดขายที่ดี เนื่องจากส่วนแบ่งจากยอดขายจะช่วยเพิ่มรายได้จากเงินเดือนพื้นฐานให้สูงยิ่งขึ้น

อูริโกะถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเชียร์กีฬาของประเทศญี่ปุ่นมาเนิ่นนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาเบสบอล ซึ่งถือเป็นกีฬายอดนิยมของชาวอาทิตย์อุทัย โดยบางสนามมีอูริโกะคอยทำหน้าที่ถึง 160 คนในแต่ละนัด นอกจากนั้นสถานที่จัดคอนเสิร์ตหลายแห่งยังจัดให้มีอูริโกะคอยเสิร์ฟเบียร์เย็น ๆ ระหว่างชมการแสดงอีกด้วย

สาวอูริโกะเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อไม่นานนี้ จากการเป็นส่วนหนึ่งของรายการแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่าง Rugby World Cup 2019 ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ โดยพวกเธอได้เสิร์ฟเบียร์พร้อมรอยยิ้มเป็นกันเองให้กับแฟนกีฬารักบี้จากต่างชาตินับแสนคน จนมีภาพถ่ายสาวอูริโกะหลายต่อหลายคนเผยแพร่ไปทั่วโลกและกลายเป็นกระแสทางโซเชียลในที่สุด ถึงขนาดที่พวกเธอถูกตั้งฉายาให้ว่า “นางฟ้าแห่งกีฬาญี่ปุ่น” ไม่แน่ในอนาคตเราอาจได้เห็นสาวขายเบียร์ในสนามกีฬาแต่ละประเภทจนกลายเป็นเรื่องปกติก็เป็นได้

Performance Beer เบียร์สำหรับนักกีฬาสายดริงค์

แต่ไหนแต่ไรเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับนักกีฬา เพราะเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงต่อสภาพความฟิตของร่างกายและการตัดสินใจระหว่างการแข่งขัน ในอดีตนักกีฬาชื่อดังที่มากด้วยความสามารถหลายต่อหลายคนไปได้ไม่ไกลในเส้นทางอาชีพ อันเนื่องมาจากการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเอง แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิต Performance Beer ที่ถูกบรรยายสรรพคุณว่าเป็นเบียร์สำหรับนักกีฬา เพื่อเอาใจนักกีฬาที่ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ

ปกติแล้วการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายผลิตสารไกลโคเจนได้ไม่เต็มที่ ซึ่งสารไกลโคเจนนี้ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในการช่วยให้ร่างกายของนักกีฬามีความแข็งแรง พร้อมสำหรับการแข่งขัน นอกจากนั้นยังมีผลต่อการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำอันนำมาซึ่งความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บบริเวณกระดูกและกล้ามเนื้อ แถมแคลอรี่ที่สูงยังมีผลต่อรูปร่างของนักกีฬาอีกด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดื่มเบียร์เย็น ๆ ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี นั้นจึงเป็นที่มาของ Performance Beer นั้นเอง

Performance Beer เป็นเบียร์ที่ผลิตด้วยการลดปริมาณแอลกอฮอล์ กลูเตน น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต โดยไม่กระทบต่อรสชาติ ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่นักกีฬาและผู้รักการออกกำลังกาย จนผู้ผลิตคราฟท์เบียร์หลายเจ้าหันมาให้ความสนใจกับผู้บริโภคกลุ่มนี้มากขึ้น บางยี่ห้อมีการเติมส่วนผสมของเกลือทะเลที่จะเปลี่ยนเป็นอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังจากออกกำลังได้อีกด้วย ไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิตเบียร์แบรนด์ดังระดับโลกยังลงมาร่วมชิงส่วนแบ่งทางการตลาดด้วยเบียร์แอลกอฮอล์ 0% และมีแคลอรี่ต่ำ

หนึ่งในผู้ผลิต Performance Beer รายแรก ๆ ที่เรียกเบียร์ของตัวเองว่าเป็นเบียร์สำหรับนักวิ่ง ได้ชูจุดขายว่าช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการวิ่งดีขึ้น แถมยังกู้คืนพลังหลังจากวิ่งได้ ด้วยการตัดส่วนผสมในเครื่องดื่มที่ไม่ดีทิ้งไป แล้วเติมแต่ส่วนผสมที่มีประโยชน์เข้ามาแทน ซึ่งจะช่วยให้นักวิ่งสามารถทำลายสถิติการวิ่งของตัวเอง

แม้สรรพคุณที่แบรนด์ต่าง ๆ พยายามสื่อสารไปถึงผู้บริโภคจะมุ่งเน้นถึงการเป็นเครื่องดื่มสำหรับคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ แต่ในมุมมองของนักโภชนาการแล้วกลับมองว่าสรรพคุณดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับเครื่องดื่มเกลือแร่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดกลูเตน ที่หากผู้ดื่มไม่ใด้เป็นโรคแพ้กลูเตนก็แทบจะไม่เห็นผลอะไร, การอิเล็กโทรไลต์ที่จะช่วยทดแทนส่วนที่เสียไปได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำสำหรับนักกีฬาที่มีอยู่แล้ว รวมไปถึงการฟื้นฟูร่างกายจากการเพิ่มคาร์โบไฮเดรต ที่ต้องดื่มเป็นจำนวนหลายกระป๋องถึงจะเห็นผล นั้นจึงทำให้เหล่านักโภชนาการลงความเห็นว่ามีสิ่งอื่นที่ให้ประโยชน์ทัดเทียมกันในราคาที่ถูกกว่า

แม้สรรพคุณที่เหล่าแบรนด์ต่าง ๆ ยกมาโฆษณาอาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ Performance Beer ก็ถือเป็นเบียร์ทางเลือกที่จะช่วยให้เหล่านักกีฬาหรือผู้ชื่นชอบการออกกำลังกายสามารถดื่มด่ำไปกับเครื่องดื่มโปรดได้อย่างสบายใจนั้นเอง