สำรวจสนามกีฬาอันยิ่งใหญ่: สนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี

ในใจกลางทวีปยุโรปเป็นประเทศที่ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬาเท่านั้น มันเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม ความหลงใหลที่รวมคนนับล้านเข้าด้วยกัน เยอรมนีซึ่งมีชื่อเสียงในด้านประวัติศาสตร์ฟุตบอลอันยาวนานและวัฒนธรรมของแฟนบอลที่กระตือรือร้น มีสนามกีฬาที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จากถนนที่พลุกพล่านในกรุงเบอร์ลินไปจนถึงมุมที่มีเสน่ห์ของบาวาเรีย สนามกีฬาขนาดมหึมาเหล่านี้ตั้งตระหง่านเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของคนทั้งประเทศกับเกมที่สวยงาม ออกเดินทางสำรวจสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี ซึ่งแต่ละสนามพิสูจน์ให้เห็นถึงมรดกทางฟุตบอลที่สืบทอดมายาวนานของประเทศ

ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค – ดอร์ทมุนด์

รู้จักกันในชื่อ “วิหารแห่งฟุตบอล” ซิกนัลอิดูนาพาร์ค ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีเมื่อพิจารณาจากความจุ ด้วยความจุที่นั่งของผู้สนับสนุนที่กระตือรือร้นมากกว่า 81,000 คน สนามกีฬาขนาดมหึมาแห่งนี้จึงกลายเป็นหม้อน้ำแห่งเสียงและอารมณ์ในวันแข่งขัน กำแพงสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นอัฒจันทร์สูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแฟนบอลผู้อุทิศตนซึ่งสวมชุดสีเหลืองและสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ของดอร์ทมุนด์ สร้างบรรยากาศอันน่าตื่นเต้นที่สร้างความหวาดกลัวให้กับทีมเยือน

สนามกีฬาอลิอันซ์ – มิวนิก

สนามกีฬา Allianz Arena ตั้งอยู่ในเมืองมิวนิกที่มีชีวิตชีวา โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมสมัยใหม่ สนามกีฬาล้ำสมัยแห่งนี้เป็นที่ตั้งของทั้งบาเยิร์น มิวนิก ทีมที่กำลังอยู่ภายใต้การจัดการของโธมัส ทูเคิ่ลและ TSV 1860 มิวนิค จุผู้ชมได้กว่า 75,000 คน ภายนอกอันโดดเด่นซึ่งส่องสว่างด้วยไฟ LED นับพันดวงที่สามารถเปลี่ยนสีได้ขึ้นอยู่กับทีมเหย้าที่เล่น ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนการแข่งขันที่สนามกีฬาสว่างไสวด้วยสีสันของบาเยิร์นหรือมิวนิกในปี 1860

สนามกีฬาโอลิมปิก – เบอร์ลิน

สนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงเบอร์ลินที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงสนามฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นและความสามัคคีของเยอรมนี เดิมสร้างขึ้นสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1936 ต่อมาได้รับการบูรณะและปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอล รวมถึงบุนเดสลีกาและการแข่งขันระดับนานาชาติ ด้วยความจุผู้ชมเกิน 74,000 คน Olympiastadion จึงเป็นพยานถึงช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของฟุตบอล รวมถึงการแข่งขัน FIFA World Cup รอบชิงชนะเลิศในปี 2549

เมอร์เซเดส-เบนซ์อารีน่า – สตุ๊ตการ์ท

Mercedes-Benz Arena เป็นที่ตั้งของ VfB Stuttgart และเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลชั้นนำของเยอรมนี ด้วยความจุที่นั่งมากกว่า 60,000 ที่นั่ง จึงมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำให้กับแฟนๆ ด้วยอัฒจันทร์ที่สูงชันทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ชมการแข่งขันในสนามได้อย่างยอดเยี่ยม การออกแบบที่ทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยของสนามกีฬาทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ชื่นชอบฟุตบอลและผู้ที่ดูคอนเสิร์ต

ไรน์เอเนอร์กีสตาดิโอน – โคโลญจน์

RheinEnergieStadion ตั้งอยู่ในใจกลางโคโลญ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความหลงใหลในฟุตบอลของเมือง สนามเหย้าของ 1. FC Köln สนามกีฬาแห่งนี้สามารถรองรับผู้ชมได้มากกว่า 50,000 คน มอบบรรยากาศที่ตื่นเต้นในวันแข่งขัน การออกแบบหลังคาที่เป็นเอกลักษณ์และความใกล้ชิดกับสนามทำให้แฟนๆ รู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

นี่เป็นเพียงสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดเพียงไม่กี่แห่งในเยอรมนี ซึ่งแต่ละแห่งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงคำรามอันดังกึกก้องของ Signal Iduna Park หรือแสงจ้าของ Allianz Arena สนามกีฬาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่สร้างความฝันและความทรงจำถูกหล่อหลอม ในขณะที่ฟุตบอลยังคงครองใจผู้คนหลายล้านคนทั่วเยอรมนี สนามกีฬาเหล่านี้จะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความรักอมตะต่อเกมการแข่งขันอันงดงามของประเทศนี้

ไวท์ ฮาร์ท เลน: ป้อมฟุตบอลประวัติศาสตร์

ไวท์ ฮาร์ท เลน ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบฟุตบอล ได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์กีฬา สนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มานานกว่าศตวรรษ สนามกีฬาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้ได้พบเห็นชัยชนะ ความโศกเศร้า และช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์อย่างแท้จริง เริ่มต้นการเดินทางผ่านเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันที่น่าหลงใหลของไวท์ ฮาร์ท เลน

จุดเริ่มต้นในตำนาน

ไวท์ ฮาร์ท เลน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2442 เป็นคำตอบของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต่อความทะเยอทะยานที่เพิ่มขึ้นของสโมสร สนามกีฬาแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขต Haringey ของลอนดอน เดิมทีมีความจุไม่มาก อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรับปรุงและขยายอย่างต่อเนื่อง สนามแห่งนี้ได้พัฒนาเป็นสนามฟุตบอลที่น่าเกรงขามที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ

ค่ำคืนอันรุ่งโรจน์และความสำเร็จที่น่าจดจำ

ไวท์ ฮาร์ท เลนได้เห็นส่วนแบ่งของความรุ่งโรจน์ของฟุตบอล ในฤดูกาล 1960-61 ท็อตแนมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ลีกและเอฟเอคัพได้สำเร็จ ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรในยูโรเปี้ยนคัพวินเนอร์สคัพในปี 1963 และชัยชนะในประเทศอื่น ๆ อีกมากมายได้ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้ในประวัติศาสตร์ของสนามกีฬา

บรรยากาศ

บรรยากาศที่เข้มข้นและเสียวสันหลังวาบที่ไวท์ ฮาร์ท เลนเป็นข้อพิสูจน์ถึงการสนับสนุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของฐานแฟนตัวยงของท็อตแนม ผู้ซื่อสัตย์ของสเปอร์สซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลง สร้างบรรยากาศที่น่าตื่นตาที่ข่มขู่คู่ต่อสู้และกระตุ้นทีมของพวกเขาให้สูงขึ้น

กล่าวลาไวท์ ฮาร์ท เลน

ในปี 2560 ไวท์ ฮาร์ท เลน กล่าวคำอำลาต่อสาวกผู้ซื่อสัตย์ สนามกีฬาได้รับการปรับปรุงโครงการเพื่อเพิ่มความจุและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันสมัย สโมสรได้ย้ายไปที่สนามเวมบลีย์เป็นการชั่วคราว และความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเปิดตัวสถานที่อันล้ำสมัยแห่งใหม่

การเติบโตของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม

บ้านหลังใหม่ของสโมสรแห่งนี้มีชื่อว่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม โผล่ออกมาจากพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของไวท์ ฮาร์ท เลน เปิดให้บริการในปี 2019 โดยยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของรุ่นก่อน ในขณะที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและความจุที่เพิ่มขึ้น ไก่ตัวผู้สีทองอันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรได้รับการบูรณะอย่างระมัดระวังและตั้งตระหง่านอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้ มองเห็นสนามได้

คืนสู่เหย้าแห่งความรุ่งโรจน์

เมื่อสโมสรกลับไปยังป้อมปราการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ สโมสรได้เปิดยุคใหม่แห่งความทะเยอทะยานและความทะเยอทะยาน สนามกีฬาแห่งนี้ใช้จัดการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พร้อมชมการกลับมาที่ไม่มีวันลืมและช่วงเวลาที่น่าจดจำ มันกลายเป็นเวทีให้เหล่าดาราได้ฉายแสง ขณะที่ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์โชว์ศักยภาพของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับทีมชั้นนำของยุโรป

วิญญาณนิรันดร์

แม้ว่าไวท์ ฮาร์ท เลนจะยังคงอยู่ในความทรงจำ แต่จิตวิญญาณของมันยังคงฝังแน่นอยู่ภายในสนามท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม สนามใหม่เป็นเครื่องยืนยันถึงมรดกของสโมสรและความหลงใหลของแฟนๆ โดยคงไว้ซึ่งมนต์ขลังของสนามดั้งเดิมในขณะที่เปิดรับอนาคต

สรุป

ไวท์ ฮาร์ท เลน จะถูกจดจำไปตลอดกาลว่าเป็นสถานที่เกิดและเติมเต็มความฝันของฟุตบอล มรดกตกทอดมาจากท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม สิ่งมหัศจรรย์สมัยใหม่ที่อบอวลไปด้วยประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องราวและจิตวิญญาณอันแน่วแน่ของรุ่นก่อน ในขณะที่ฟุตบอลพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ไวท์ฮาร์ทเลนมีความสำคัญในฐานะป้อมปราการฟุตบอลอันเป็นที่รักไม่มีวันเสื่อมคลาย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

สตาดีโอ โอลิมปีโก รังเหย้าของสองนักรบแห่งโรมัน

เราอาจจะเคยได้เห็นการใช้สนามเหย้าร่วมกัน ของสองทีมฟุตบอลที่อยู่ร่วมเมืองเดียวกันมาแล้วหลายแห่ง ทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก ซึ่งบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความตึงเครียดเสมอยามที่ต้องเตะกันเอง หรือที่เราเรียกกันว่า “ดาร์บี้ แมทช์” ยกตัวอย่างก็เช่นสองทีมใหญ่แห่งเมืองมิลานลงเตะกันเองในซาน ซิโร (จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า) ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครยอมใคร แต่ถ้าจะเทียบสนามสตาดีโอ โอลิมปีโก แห่งกรุงโรมแล้วละก็ ต้องบอกเลยว่าคู่แห่งศักดิ์ศรีเมืองมิลานต้องชิดซ้ายไปอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะว่าสนามโอลิมปิกแห่งโรมนั้น ถูกใช้เป็นรังเหย้าร่วมกันของสองทีมใหญ่จากเมืองหลวงอย่างโรม่า และลาซิโอ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสองทีมที่แฟนบอลต่างมีเลือดนักรบโรมันอยู่อย่างเต็มเปี่ยม จึงไม่มีใครยอมใครทั้งนั้นและแฟนบอลของทั้งสองทีมนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มแฟนบอลป่าเถื่อนหรือ “ฮูลิแกน” ที่ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศเลยทีเดียว ดังนั้นยามใดที่มีศึกผ่าเมืองของกรุงโรมเกิดขึ้นที่นี่ เหล่าแฟนบอลเจ้าปัญหาเหล่านี้มักจะสร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเสมอ ไม่ว่าจะภายในสนามสตาดีโอ โอลิมปีโกหรือแม้แต่ตามท้องถนนก็ตาม เหล่านักรบโรมันของทั้งสองทีมก็พร้อมที่จะยั่วยุซึ่งกันและกัน รวมไปถึงพร้อมปะทะกันได้ตลอดเวลา และที่สำคัญทั้งสองทีมต่างก็เป็นทีมที่เล่นอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศอีกด้วย ทำให้อย่างน้อย ๆ จะการันตีว่ามีแมทช์ให้ปะทะกันแน่ ๆ สองเกมด้วยกัน

แต่สนามแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีแต่ปัญหาจากกลุ่มแฟนบอลหัวรุนแรงเท่านั้น สตาดีโอ โอลิมปีโกแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในสังเวียนแข้งที่สำคัญของประเทศอิตาลีอีกด้วย ด้วยความที่เป็นสนามกีฬาที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่แห่งหนึ่ง (เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1937) แถมยังตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอิตาลี ทำให้สนามแห่งนี้เปรียบเสมือนกับโคลอสเซียมของโรมในอดีต สนามแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศบอลถ้วยของอิตาลี และได้รับเกียรติให้จัดการแข่งขันรายการสำคัญ ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิกเกมส์ นัดชิงยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก นัดชิงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รวมไปถึงนัดชิงฟุตบอลโลกก็ล้วนแล้วแต่เคยมาใช้บริการสนามแห่งนี้มาแล้วทั้งสิ้น

สตาดีโอ โอลิมปีโก เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งกรุงโรม เป็นเหมือนจุดรวมของอาณาจักรโรมันในอดีตกับกรุงโรมปัจจุบัน เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งเลือดนักสู้และการนิยมการแข่งขันต่าง ๆ ของชาวโรมัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่น่าไปเยือนอย่างมากหากมีโอกาสได้ไปอิตาลี ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ พยายามอยู่ห่างจากสนามแห่งนี้เข้าไว้ ในวันที่มีการต่อสู้กันของสองสายเลือดนักรบโรมัน อย่างโรม่าและลาซิโอเพื่อความปลอดภัยของคนนอกอย่างพวกเรา แค่นั้นก็พอ

ตำนาน “นรกลูกหนังแห่งตุรกี” อลี ซามี เยน

ถ้าหากถามนักฟุตบอลที่เคยไปสัมผัสบรรยากาศในสนาม อลี ซามี เยน ของกาลาตาซารายทีมดังตุรกีมาแล้ว ว่าเขาอยากจะกลับไปเยือนอีกซักครั้งหรือไม่ เชื่อว่าไม่มีใครอยากกลับไปเยือนที่แห่งนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีแค่ไหนอยู่กับทีมที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหากว่าทีมของคุณไม่ใช่กาลาตาซารายแล้วละก็ สนามแห่งนี้ก็คือนรกในเกมฟุตบอลของคุณอย่างแน่นอน

“อลี ซามี เยน” เป็นชื่อเก่าของรังเหย้าทีมดังจากตุรกี ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเติร์ก เทเลคอม อารีนา เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อตั้งสโมสร คือ อลี ซามี เฟรเชรี่ ซึ่งเปลี่ยนนามสกุลของเขาที่เป็นชื่อแอลแบเนียนตามเชื้อสายมาเป็น “เยน” ซึ่งมีความหมายว่าผู้ชนะในภาษาตุรกี เพื่อระลึกถึงเขาในฐานะผู้ก่อตั้งและพาทีมเป็นแชมป์ลีกตุรกีได้ถึงสามสมัย ในเวลาการเล่นของเขากับทีมเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นเอง

สาเหตุที่สนามแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “นรกลูกหนังแห่งตุรกี” ก็เพราะว่าบรรยากาศการเชียร์ภายในสนามนั้นของแฟนบอลที่นี่นั้น เต็มไปด้วยความดุเดือดคุกคามและรุนแรงอย่างมาก จนทำให้นักฟุตบอลทีมเยือนเล่นไม่ออกกันเลยทีเดียว และไม่ใช่แค่นักเตะธรรมดาทั่วไปเท่านั้นที่จะโดนบรรยากาศของสนามแห่งนี้เล่นงาน แม้แต่ผู้เล่นระดับโลกหลายต่อหลายคนก็เคยมาพบกับความปราชัยที่แล้วทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ราชันชุดขาวในยุดกาลาคติกอสที่มีซูเปอร์สตาร์ล้นทีม ดังนั้นในยุคนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นทีมใหญ่ขนาดไหนก็ตาม หากจับต้องฉลากมาเจอกับกาลาตาซารายแล้วละก็ สิ่งที่ต้องทำก็คือยิงตุนในบ้านตัวเองไว้เยอะ ๆ เลยจะดีที่สุด เพราะหากคุณคาดหวังมาชนะที่อลี ซามี เยน ละก็ต้องบอกเลยว่ายากมาก ๆ

ไม่เพียงแค่บรรยากาศในสนามเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ ไรอัน กิ๊กส์ ปีกพ่อมดแห่งทัพปีศาจแดงเคยเล่าว่า นอกจากบรรยากาศในสนามจะชวนให้ก้าวขาไม่ออกแล้ว พวกเขายังโดนแฟนบอลหัวรุนแรงของฝั่งเจ้าบ้าน ผลัดกันมาเมามายและตะโกนโหวกเหวกหน้าที่พักทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้หลับได้นอน ทั้งยังมีแฟนบอลตะโกนข่มคู่คุกคามตลอดการเดินทางสู่สนาม แถมพอไปถึงแฟนจำนวนมากก็เข้าไปรอและเริ่มกดดันผู้เล่นทีมเยือนตั้งแต่ช่วงลงอบอุ่นร่างกายกันเลยทีเดียว เรียกว่าทำทุกอย่างที่ทำให้ทีมของพวกเขาได้เปรียบเลยก็ว่าได้

ปัจจุบันนั้นกฎการควบคุมแฟนบอลนั้นเข้มงวดและมีโทษรุนแรงมากขึ้น ทำให้บรรยากาศดุเดือดของนรกลูกหนังดูเบาลงกว่าเดิมมาก และข่มขวัญนักเตะทีมเยือนได้ไม่มากเหมือนที่เคยเป็น แต่ก็ต้องบอกว่าสนามแห่งนี้ยังคงมีบรรยากาศการเชียร์ที่ดุเดือดมากกว่าหลาย ๆ ที่ในโลก ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ยังคงไม่มีนักฟุตบอลคนไหนที่อยากจะไปเยือน “นรกลูกหนัง” แห่งนี้อย่างแน่นอน

สนาม “เดอะ เดน” บ้านของฮูลิแกน และฝันร้ายของแฟนบอลทีมเยือน

ถ้าหากว่าคุณกำลังจะตามไปเชียร์ทีมฟุตบอลในดวงใจของคุณ และพวกเขามีโปรแกรมที่จะต้องไปเยือนทีมเล็ก ๆ ทีมหนึ่งอย่างมิลล์วอลล์แล้วละก็ ก่อนอื่นคือคุณจะต้องหยุดและคิดดูอีกซักครั้งก่อนที่จะตัดสินใจ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเป็นทีมใหญ่ฟอร์มร้อนแรงพร้อมจะถล่มทีมรักของคุณแต่อย่างใด แต่สิ่งที่จะต้องนำมาคิดไตร่ตรองอีกครั้งก็คือความปลอดภัยของตัวคุณเองนั่นแหละ เพราะสนามเดอะ เดน ซึ่งเป็นสนามเหย้าของพวกเขานั้นเป็นแหล่งรวมของแฟนบอลที่ป่าเถื่อนที่สุดทีมหนึ่งบนเกาะอังกฤษนั่นเอง

สนามเดอะ เดน (The Den) รังเหย้าของมิลล์วอลล์นั้น ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน เป็นสนามที่มีขนาดเล็กมีความจุเพียงแค่สองหมื่นกว่าที่นั่งเท่านั้น แต่มันกลับเป็นสถานที่น่ากลัวมากสำหรับแฟนบอลทีมเยือน เพราะด้วยความที่มีสนามที่เล็กและแคบ แต่ดันบรรจุไปด้วยแฟนบอลหัวรุนแรงทั้งนั้น เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและคุกคามจึงดังก้องมากเป็นพิเศษ และหากคุณอยู่ฟังแฟนทีมเยือนแล้วละก็จะต้องพยายามข่มอารมณ์กับคำด่าทอเหล่านั้นให้ได้ เพราะถ้าอีกฝั่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้แล้วนั้น ทางฝั่งเจ้าบ้านเค้าก็พร้อมจะปะทะเสมอและเรื่องมักจะจบลงด้วยการนองเลือดอยู่เป็นประจำ นอกจากการปะทะกันกับแฟนบอลทีมเยือนแล้ว กับคำตัดสินของกรรมการที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจก็เช่นกัน มักจะมีการเสียงตะโกนด่าทอรวมถึงขว้างปาสิ่งของมาจากพวกเขาเสมอ หากเห็นว่ากรรมการตัดสินไม่เป็นธรรมต่อพวกเขา

ด้วยความที่พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่เก่าแก่ และอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงลอนดอน ที่สำคัญพวกเขาดันเล่นอยู่แค่ในลีกเล็กระดับล่างเท่านั้น ทำให้เป็นปมด้อยที่พวกเขาโดนแฟนบอลทีมอื่นที่ใหญ่กว่าเยาะเย้ยถากถาง ซึ่งแฟนบอลมิลล์วอลล์ก็เป็นพวกจุดเดือดต่ำซะด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะปวดหัวเสมอเมื่อมีการแข่งขันระหว่างมิลล์วอลล์กับทีมร่วมเมืองลอนดอน โดยเฉพาะเป็นการเจอกันของมิลล์วอลล์กับเวสต์แฮมอีกหนึ่งทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องฮูลิแกนแล้วระก็ ถึงกับต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินเพื่อควบคุมสถานการณ์เลยทีเดียว ก็ยังถือเป็นข่าวดีของเจ้าหน้าที่อยู่บ้างที่พวกเขาทั้งคู่เล่นอยู่คนละดิวิชั่นกัน แต่ถึงจะมีการควบคุมเข้มงวดเพียงใดก็ยังคงมีการเปิดเผยจากทางตำรวจว่า มีคดีการใช้ความรุนแรงและใช้อาวุธทำร้ายแฟนบอลคู่แข่งของฮูลิแกนฝั่งมิลล์วอลล์มากถึง 56 คดีจากช่วงเวลาเพียงแค่ 4 ปีที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ จะถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงจะดีมากในปัจจุบัน แต่สำหรับแฟนบอลทีมเยือนแล้วสนามเดอะ เดน ยังคงเป็นที่ที่น่ากลัวเสมอ หากอยากรู้ว่าน่ากลัวแค่ไหนก็ลองหาหนังเรื่อง “อันธพาลลูกหนัง”(Green Street Hooligans) มาดูก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าที่นั่นน่ากลัวเพียงใด และจะได้หาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนที่จะเข้าไปชมทีมรักของคุณ

สนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว บัลลังก์แห่งราชันชุดขาว

ถ้าจะพูดถึงสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านขนาดและความสำเร็จบนโลกแห่งฟุตบอลแล้วละก็ ชื่อหนึ่งที่จะติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกฟุตบอลจะต้องเป็นชื่อสนาม “ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว” สนามเหย้าของทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ในประเทศสเปนอย่างแน่นอน เพราะตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานบนโลกลูกหนังของสนามแห่งนี้ มีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่มากมายบนโลกฟุตบอลเกิดขึ้นจบลงและถูกจารึก ไว้บนสังเวียนลูกหนังที่ได้ชื่อว่า เป็นบัลลังก์ของราชันชุดขาวแห่งนี้

แรกเริ่มเดิมทีนั้นมาดริดมีสนามเหย้าที่ชื่อว่า คัมโป เด โอดอนเนลในช่วงก่อตั้งสโมสร และได้ทำการย้ายสนามเกิดขึ้นเพื่อรองรับจำนวนแฟนบอลที่มากขึ้นในช่วงปี 1923 มาเป็นสนามที่มีชื่อว่า “ชามาร์ติน” ซึ่งในเวลาต่อมาสนามแห่งนี้ก็กลายเป็นสนามที่เล็กเกินไปอีกครั้ง ตามจำนวนแฟนบอลที่มากขึ้นทุกวันของทีม ทำให้ประธานสโมสรในขณะนั้นเกิดแนวคิดที่จะสร้างสนามขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับฐานแฟนบอลที่จะมากขึ้นไปอีกในอนาคตด้วย จึงได้ทำการสร้างสนามแห่งนี้ขึ้นมาในปี 1943 แต่ก็ยังคงใช้ชื่อสนามตามชื่อเดิมอยู่นั่นคือ “ชามาร์ติน” จนกระทั้งเมื่อปี 1955 จึงได้เปลี่ยนชื่อสนามแห่งนี้ตามชื่อของประธานสโมสรที่ได้ทำการสร้างมันขึ้นมาคือ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เยสเต้ และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน

เบอร์นาเบวนั้นปัจจุบันมีความจุสูงถึง 81,044 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นความจุที่ใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งในวงการฟุตบอล นอกจากจะเป็นสนามที่มีขนาดใหญ่แล้ว ภายในยังมีทั้งโรงแรมห้อง พักนักกีฬา พิพิธภัณฑ์และหอเกียรติยศ ซึ่งบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ฟุตบอลของทีมไว้เปิดให้แฟนบอลเข้าไปชมอีกด้วย แถมยังเป็นสนามที่ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจใจกลางมหานครมาดริดเมืองหลวงของสเปน ทำให้มีผู้คนทั้งแฟนบอลและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก สนใจเข้าเยี่ยมชมสนามแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย ที่สำคัญเบอร์นาเบวยังสถานีรถไฟฟ้าเป็นของตัวเองไว้รองรับผู้คนที่จะเดินทางมาอีกด้วย

ในด้านความสำเร็จและประวัติศาสตร์ฟุตบอลนั้น ซานติอาโก้ เบอร์นาเบวเคยถูกเลือกให้ราคาต่อรองจาก Fun88 เป็นเต็งสังเวียนนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกมาแล้วถึง 3 สมัย และยังเคยเป็นสนามที่ใช้จัดนัดชิงฟุตบอลนัดชิงยูโร 1964 ซึ่งทีมชาติสเปนสามารถคว้าแชมป์ในบ้านตัวเองที่สนามแห่งนี้ได้สำเร็จอีกด้วย และยังมีโอกาสได้จัดฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศอีกหนึ่งครั้งในปี 1982 แต่ครั้งนี้เป็นการบันทึกความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ของอิตาลีแทน เพราะเจ้าภาพอย่างสเปนชิงตกรอบรองชนะเลิศไปก่อนอย่างน่าเสียดาย นอกจากจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ทั้งในส่วนของทีมชาติและทีมสโมสรแล้ว ความสำเร็จของทีมเรอัล มาดริดและเหล่าผู้เล่นระดับโลกหลายคน ต่างก็ก้าวเข้ามาเพื่อตามหาความฝันและความสำเร็จในเส้นทางฟุตบอล ในสนามแห่งนี้กันแบบไม่เคยขาดสาย ทำให้ทุกยุคทุกสมัยที่สนามแห่งนี้จะมีผู้เล่นที่ดีที่สุดของโลกอยู่ในทีมเสมอ และผลที่ตามมาก็คือความสำเร็จที่พวกเขากวาดมาสู่หอเกียรติยศในสนามแห่งนี้มากมายตามไปด้วย ทั้งแชมป์ลีก 34 ใบ แชมเปี้ยนลีก 13 ใบ โคปา เดอ เรย์ 19 ใบ ยังไม่นับรายการย่อยออื่น ๆ เพียงเท่านี้ก็หาทีมที่จะไล่ตามพวกเขาได้ยาก สมกับฉายาที่ถูกเรียกว่า “ราชัน” อย่างแท้จริง

ปัจจุบันซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ไม่ใช่เป็นเพียงสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงมาดริดอีกด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีว่าสนามแห่งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในแง่ของรายได้และความสำเร็จด้านฟุตบอล และทางสโมสรกำลังวางแผนที่จะปรับปรุงสนามครั้งใหญ่อีกครั้ง ดังนั้นรับองได้เลยว่า ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว จะยังคงเป็นสถานที่บันทึกเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของโลกฟุตบอลไปอีกนานเท่านาน

ลัดเลาะรอบโอลด์ แทรฟฟอร์ด โรงละครแห่งความฝันของสาวกปีศาจแดง

โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นสนามเหย้าของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศอังกฤษที่มีแฟนบอลมากกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ที่นี่จึงเปรียบเสมือนเป็นจุดหมายปลายทางของสาวกปีศาจแดงทั่วโลกที่ต้องการมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง ทำให้แฟนคลับนับล้านคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเดินทางมายังสนามแห่งนี้ตลอดทั้งปี และด้วยมนต์ขลังของสโมสรอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับ 100 ปี ทำให้เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน อดีตนักเตะระดับตำนานของสโมสรให้สมญานามสถานที่แห่งนี้ว่า “โรงละครแห่งความฝัน”

โอลด์ แทรฟฟอร์ด เริ่มใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1910 ด้วยความจุสนามสูงถึง 80,000 ที่นั่ง ซึ่งสมัยนั้นแฟนบอลยังนิยมการยืนเชียร์ในสนาม ต่อมาในปี 1941 สนามได้รับความเสียหายจากระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนต้องได้รับการบูรณะสนามขึ้นใหม่และเปิดใช้งานอีกครั้งในปี 1949 หลังจากนั้นสนามก็ได้รับการปรับปรุงอีกหลายครั้งจนกลายเป็นหนึ่งในสนามที่ทันสมัยที่สุดของวงการฟุตบอล ในปัจจุบันโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ได้เป็นเพียงแค่สนามฟุตบอลที่รองรับแฟนบอลซึ่งเดินทางมาชมเกมการแข่งขันในวันที่ทีมลงสนามเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสถานที่ที่พร้อมให้แฟนบอลได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับสโมสรในวันที่ไม่มีการแข่งขันได้ตลอดทั้งวัน

เริ่มต้นกันด้วยการทัวร์สนามที่ Museum & Tour Centre บริเวณทิศเหนือของสนาม โดยไม่ลืมเก็บภาพรูปปั้นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมที่พายูไนเต็ดคว้าแชมป์มากมาย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้า และหากใครหิวยังสามารถแวะรับประทานอาหารที่ Red Café ก่อนเริ่มทัวร์ได้ ในการทัวร์สนามนั้นไกด์จะพาชมทั่วทุกมุมของอัฒจันทร์แต่ละฝั่งสลับกับการเยี่ยมชมห้องแต่งตัวของนักเตะและห้องแถลงข่าว ก่อนจะพาลงสู่สนามทางอุโมงค์เช่นเดียวกับเวลานักฟุตบอลลงทำการแข่งขัน และพาไปชมซุ้มม้านั่งฝั่งเจ้าบ้านอย่างใกล้ชิด ต่อจากนั้นจะให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสโมสร ไม่ว่าจะเป็นถ้วยรางวัล, ชุดที่นักเตะใส่แข่งขัน รวมไปถึงประวัตินักเตะระดับตำนานจนถึงปัจจุบัน

เมื่อออกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ให้เดินออกมายังทิศตะวันออกของสนามเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ “The United Trinity” รูปปั้นตำนานนักเตะประจำสโมสรทั้ง 3 คน ได้แก่ จอร์จ เบสต์, เดนนิส ลอว์ และบ็อบบี้ ชาร์ลตัน ที่ตั้งหันหน้าเข้าหาสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ก่อนจะหันมาเก็บภาพสนามในมุมกว้างโดยมีรูปปั้นเซอร์แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมที่พาปีศาจแดงครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษและทวีปยุโรปตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทางเข้า Megastore ร้านขายของที่ระลึกประจำสโมสรซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป หลังจากเลือกช้อปปิ้งอย่างจุใจ แล้วให้เดินมายังด้านข้างของอัฒจันทร์ฝั่งตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์ความทรงจำโศกนาฏกรรมที่มิวนิค เพื่อระลึกถึงนักเตะและเจ้าหน้าที่ของสโมสรที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 1958 เป็นการส่งท้ายทริป

และหากต้องการค้างคืนที่เมืองแมนเชสเตอร์ แนะนำให้เลือกพักที่ “โฮเทล ฟุตบอล” โรงแรมระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด เพราะนอกจากจะได้ชมโรงละครแห่งความฝันในมุมสูงแล้ว ยังอาจได้พบกับอดีตนักเตะดาวดังอย่าง ไรอัน กิ๊กซ์, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์ หรือนิกกี้ บัตต์  ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมร่วมกันก็เป็นได้

“เวมบลีย์ สเตเดียม” สนามแห่งจิตวิญญาณของชาวอังกฤษ

ประเทศอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของกีฬาฟุตบอล แถมฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอย่างพรีเมียร์ลีก ยังถือเป็นลีกที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย ชาวอังกฤษล้วนผูกพันกับโลกลูกหนังมาตั้งแต่เด็ก ทั้งฟุตบอลระดับสโมสรและทีมชาติ โดยสนามฟุตบอลที่ชาวอังกฤษทั้งประเทศผูกพันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “เวมบลีย์ สเตเดียม” ซึ่งถูกใช้เป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษนั้นเอง

สนามเวมบลีย์ ตั้งอยู่ในเวมบลีย์ปาร์ก กรุงลอนดอน เริ่มก่อสร้างในปี 1922 โดยแล้วเสร็จและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เมษายน 1923 ซึ่งเป็นเกมการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างโบลตัน วันเดอเรอร์ส กับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสนามแห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสนามแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ซึ่งเป็นฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน จนมีข้อความว่า “Road to Wembley” เป็นสโลแกนประจำการแข่งขัน นอกจากนั้นเวมบลีย์ยังถูกใช้เป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษ และฟุตบอลลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศ รวมไปถึงถูกเลือกให้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก (ยูโรเปี้ยน คัพ) นัดชิงชนะเลิศ, ฟุตบอลโลก 1966 นัดชิงชนะเลิศ, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปยุโรป “ยูโร 96” รวมไปถึงฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 1948 และ 2012 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพด้วย

เวมบลีย์ได้รับการรีโนเวทในปี 1963 เพื่อใช้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1966 ซึ่งครั้งนั้นทีมชาติอังกฤษสามารถเอาชนะทีมชาติเยอรมันตะวันตกไปได้ในช่วงต่อเวลา ครองแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวมาจนถึงปัจจุบัน จนกระทั้งในปี 2000 สนามเวมบลีย์ถูกปิดใช้งานเพื่อก่อสร้างสนามใหม่ด้วยทุนการก่อสร้างกว่า 790 ล้านปอนด์ ก่อนจะกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2007 โดยสนามใหม่นี้มีความจุผู้ชมถึง 90,000 ที่นั่ง ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป นอกจากนั้นยังได้เปลี่ยนสัญลักษณ์ประจำสนามจากหอคอยคู่ มาเป็นเสาโค้งรูปครึ่งวงกลมแทน และมีการตั้งอนุสาวรีย์บ็อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก ไว้ที่หน้าทางเข้าสนามอีกด้วย

นอกจากจะถูกใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลแล้ว เวมบลีย์ยังถูกใช้จัดการแข่งขันกีฬาประเภทอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นรักบี้ ลีก, รักบี้ ยูเนี่ยน, อเมริกันฟุตบอล และมวยสากล รวมไปถึงการจัดคอนเสิร์ตระดับโลก ซึ่งศิลปินระดับตำนานอย่าง Michael Jackson, Queen, Paul McCartney, Elton John, U2, Madonna, Oasis, Bon Jovi และ Aerosmith ล้วนผ่านเวทีเวมบลีย์มาแล้วทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ BTS บอยแบนด์ชื่อดังจากประเทศเกาหลี ก็เคยขึ้นแสดงที่นี่เมื่อปี 2019 นับเป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่ได้จัดการแสดงกลางกรุงลอนดอน

สนามเวมบลีย์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสนามได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.00 น. เว้นวันหยุดช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ โดยผู้เข้าชมจะได้สำรวจทุกซอกทุกมุมของสนาม เข้าชมห้องแต่งตัวนักเตะ, ห้องแถลงข่าว, อุโมงค์ปล่อยตัวนักเตะ และที่นั่งข้างสนาม รวมไปถึงประวัติศาสตร์ทั้งหมดเกี่ยวกับสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษ

“คัมป์ นู” สนามฟุตบอลสุดยิ่งใหญ่ของยุโรป

หากมีการจัดอันดับสนามฟุตบอลที่แฟนบอลอยากไปเยือนสักครั้ง ต้องมีชื่อของ “คัมป์ นู” ติดโผอยู่ในลำดับต้น ๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากนี่คือสนามเหย้าของบาร์เซโลน่า สโมสรฟุตบอลระดับแนวหน้าของโลกจากประเทศสเปน แถมสนามแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นสนามฟุตบอลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปอีกด้วย

คัมป์ นู (Camp Nou) ตั้งอยู่ในเมืองบาร์เซโลน่า แคว้นคาตาลัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน สนามแห่งนี้ได้รับฉายาว่า “อ่างชามยักษ์” จากการเป็นสนามฟุตบอลที่มีความจุผู้ชมถึง 99,354 ที่นั่ง ซึ่งหากแข่งขันในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกจะถูกลดลงเหลือ 96,636 ที่นั่ง ตามกฎมาตรการรักษาความปลอดภัยของยูฟ่า แม้จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่เมื่อมองจากภายนอกกลับดูไม่ใหญ่มากนัก นั้นเป็นเพราะพื้นที่ส่วนล่างของสนามอยู่ลึกลงไปใต้ดิน โดยก่อนหน้านี้สโมสรตั้งใจใช้ชื่อสนามอย่างเป็นทางการว่า “เอสตาดิ เดล เอฟซี บาร์เซโลน่า” แต่เนื่องจากแฟนบอลและผู้สื่อข่าวนิยมเรียกสนามแห่งนี้ว่า คัมป์ นู มากกว่า ชื่อนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อสนามอย่างเป็นทางการในที่สุด โดยคำว่า คัมป์ นู เป็นภาษาคาตาลัน แปลว่า “สนามแห่งใหม่” เนื่องจากเป็นสนามที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดแทนสนามเดิมของสโมสรบาร์เซโลน่า

ในยุคก่อตั้งสโมสรบาร์เซโลน่าใช้สนามคัมป์ เด ลา อินดุสเตรีย (Camp de la Indústria) เป็นสนามประจำทีม ซึ่งเป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ที่หลายชนิดกีฬาใช้พื้นที่ร่วมกัน มีความจุประมาณ 10,000 ที่นั่ง ก่อนจะสร้างสนามของตัวเองในชื่อ คัมป์ เด เลส คอร์ทส (Camp de Les Corts) ที่มีความจุ 20,000 ที่นั่ง ตามจำนวนแฟนบอลที่ติดตามเชียร์ในสนามมากขึ้น หลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมือง แฟนบอลสเปนแต่ทีมล้วนมีฐานแฟนคลับเพิ่มขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทีมประจำแคว้นคาตาลัน ทำให้บาร์เซโลน่าตัดสินใจปรับปรุงสนามของตัวเองจนมีความจุ 60,000 ที่นั่ง จนกระทั้งในปี 1954 สโมสรต้องการขยายสนามเพื่อรองรับแฟนบอล แต่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีพื้นที่เพียงพอในการขยับขยาย จึงเป็นที่มาของการสร้างสนามคัมป์ นู ในที่สุด

สนามคัมป์ นู เริ่มก่อสร้างในปี 1954 ด้วยงบประมาณ 288 ล้านเปเซตา มีผู้ว่าเฟลีเป อาเซโด โกลังกา เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก้อนแรก ประกอบพิธีโดยเกรโกเรียว โมเดรโก อาร์ชบิชอปแห่งบาร์เซโลนา และเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 1957 ก่อนจะทำการออกแบบสนามใหม่ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของยูฟ่าในปี 1980 โดยครั้งนั้นสโมสรเปิดโอกาสให้แฟนได้มีส่วนร่วมกับการปรับปรุงสนามด้วยการเปิดบริจาคเงินจากแฟนบอลแลกกับมีชื่อสลักบนหิน ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินบริจาคจำนวนมาก ยังทำให้แฟนบอลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสนามอย่างเป็นรูปธรรม

คัมป์ นู ไม่เพียงถูกใช้เป็นสนามเหย้าของบาร์เซโลน่าเท่านั้น สนามแห่งนี้ยังถูกรับเลือกให้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 1982 รอบแบ่งกลุ่ม และรอบรองชนะเลิศ, คัพ วินเนอร์ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1972, ยูโรเปี้ยน คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1989 รวมไปถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ปี 1999

แม้จะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่แล้ว แต่คัมป์ นู ก็ยังมีแผนขยายความจุของสนามเพิ่มขึ้นเป็น 105,000 ที่นั่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2023 นี้อีกด้วย ถือเป็นอีกก้าวของสนามแห่งนี้ในการเข้าใกล้สนามที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Rungrado May Day Stadium ของประเทศเกาหลีเหนือ ที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 150,000 คน

แก้วเบียร์ กับการพัฒนาวงการฟุตบอล

การดื่มเบียร์เป็นกิจกรรมที่อยู่คู่กับแฟนบอลมาช้านาน ผู้ผลิตเบียร์หลากหลายแบรนด์จึงเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มที่ข้างสนาม ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการใด ภาพแฟนบอลกับเบียร์จึงกลายเป็นสิ่งที่คุ้นตาในทุกสนามแข่ง ซึ่งเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลังเกมการแข่งขันนั้นคือขยะที่เกิดจากภาชนะใส่เบียร์จำนวนมากจนเป็นภาระใหญ่ให้กับผู้จัดการแข่งขัน แต่สำหรับทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลกอย่าง World Cup 2018 ที่ประเทศรัสเซียเป็นเจ้าภาพ ได้เปลี่ยนขยะไร้ค่าเหล่านั้นให้กลายมาเป็นสิ่งที่กลับมาสร้างประโยชน์ให้แก่วงการฟุตบอลได้อีกครั้ง

World Cup 2018 ที่ผ่านพ้นไปมีทีมชาติเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 32 ประเทศ คาดการณ์ว่าได้มีแฟนบอลและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปยังประเทศรัสเซียไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน และด้วยวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ที่ติดตัวบรรดาสาวกลูกหนัง ทำให้ “บัดไวเซอร์” ผู้ผลิตเบียร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ร่วมเป็นหนึ่งในสปอนเซอร์ของการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ สามารถจำหน่ายเบียร์ให้กับแฟนบอลได้มากกว่า 3.2 ล้านแก้ว โดยหลังจบทัวร์นาเมนต์ผู้จัดจำหน่ายเบียร์ได้มีแนวคิดที่ต้องการให้แก้วเบียร์พลาสติกเหลือทิ้งเหล่านั้นถูกนำกลับมาใช้เพื่อประโยชน์แก่วงการฟุตบอลแทนที่จะนำไปใช้อย่างอื่น นั้นจึงทำให้เกิด “บัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า” (Budweiser Recup Arena) สนามฟุตบอลหญ้าเทียมจากพลาสติกรีไซเคิลที่มีขนาดพื้นที่รวมทั้งสิ้น 65×42 ตารางเมตร รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างในสนาม ที่ได้รับการยืนยันว่ามีความทนทานสูง

บัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า ตั้งอยู่ที่มีเมืองโซชี ทางด้านข้างของสนามฟิชต์ โอลิมปิก ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่มีของใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรัสเซีย และได้ถูกใช้ในการการแข่งขัน World Cup 2018 ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยพื้นหญ้าเทียมสีขาวตัดกับเส้นสนามสีแดงของสนามบัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า นั้นถูกผลิตขึ้นจากพลาสติกรีไซเคิลกว่า 2.5 ล้านตัน ซึ่งได้มาจากแก้วเบียร์พลาสติกชื่อ “บัดไวเซอร์ เรด ไลท์ คัพส์” (Budweiser Red Light Cups) ที่ทางผู้จำหน่ายเก็บรวบรวมจากข้างสนามแข่งทุกแห่งกว่า 50,000 ใบ ทั้งนี้แก้วเบียร์ดังกล่าวเป็นพลาสติกประเภท PT ชนิดเดียวกับที่นำมาใช้ในการผลิตหญ้าเทียมอยู่แล้ว

ปัจจุบันบัดไวเซอร์ รีคัพ เอรีน่า ได้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2019 ภายใต้คอนเซ็ปต์ The World Cup RePlay โดยสนามแห่งนี้จะถูกนำมาใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมให้กับสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นของเมืองโซชี ซึ่งในงานเปิดตัวดังกล่าวได้มีอดีตนักเตะชื่อดังระดับโลกอย่างมาร์โก้ มาเตรัซซี่ และซีเนอดีน ซีดาน เดินทางมาร่วมงานด้วย โดยอดีตกองหลังทีมชาติอิตาลีได้กล่าวชื่นชมแนวความคิดนี้ และหวังว่าจะเป็นการจุดประกายให้มีการสร้างสนามฟุตบอลรีไซเคิลเช่นนี้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต นอกจากนั้นทางผู้บริหารของเอบี อินเบฟ (AB InBev) บริษัทแม่ของบัดไวเซอร์ ยังหวังให้สนามแห่งนี้กลายเป็นความทรงจำที่คอยย้ำเตือนถึงฟุตบอลโลกที่ผ่านไป และเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอล